วันที่ 1 | กรุงเทพฯ |
20.00 น. | คณะพบเจ้าหน้าที่และมัคคุเทศก์ได้ที่ เคาน์เตอร์เช็คอิน U ประตูทางเข้าที่ 9 หรือ 10 อาคารผู้โดยสารขาออก เคาน์เตอร์สายการบินเตอร์กิช แอร์ไลน์ส (TK) ณ สนามบินสุวรรณภูมิ |
23.00 น. | ออกเดินทางสู่ นครอิสตันบูล ประเทศตุรกี โดยเที่ยวบิน TK 69 (ใช้เวลาบินประมาณ 10.15 ชั่วโมง) เพลิดเพลินกับภาพยนตร์หลากหลายกับ จอทีวีส่วนตัวทุกที่นั่ง และสายการบินฯ บริการ อาหารค่ำและอาหารเช้า ระหว่างเที่ยวบินสู่ นครอิสตันบูล ประเทศตุรกี |
วันที่ 2 | อิสตันบูล - คัปปาโดเกีย |
05.20 น. | เดินทางถึง กรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกี นำท่านผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร จากนั้นนำท่านเดินทางสู่อาคารผู้โดยสารในประเทศเพื่อขึ้นเที่ยวบินสู่ เมืองไคเซรี่ (Kayseri) เที่ยวบิน TK2026 |
08.50 น. | ออกเดินทางจาก สนามบินอิสตันบูล (IST) สู่ สนามบินเมืองไคเซรี่ (Kayseri) โดยสายการบินเตอร์กิชแอร์ไลน์ส โดยเที่ยวบิน TK2026 มีบริการอาหารว่างบนเครื่องบิน (ใช้เวลาบินประมาณ 1 ชม.) |
10.25 น. | เดินทางถึง สนามบินเมืองไคเซรี่ |
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น |
บ่าย | นำท่านชม ป้อมออธาฮิซาร์ (Ortahisar Fortress) หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ปราสาทกลาง (Middle Castle) เนื่องจากตั้งอยู่ใจกลางภูมิภาคคัปปาโดเกีย และยังเป็นหนึ่งในปล่องไฟนางฟ้าที่มีความสูงที่สุดในภูมิภาคด้วย เดิมทีถูกใช้เป็นป้อมปราการไว้ทางการทหารในอดีตยุคไบเซนไทน์ ร่วมกับอีกสองป้อมปราการที่สำคัญในภูมิภาค คือ Baskale Castle และ Uchisar Castle ปัจจุบันได้มีการบูรณะให้คงสภาพสวยงามและเปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถชมได้ตั้งแต่ปี ค.ศ.2013 เป็นต้นมา โดยใช้เวลากว่า 9 ปี ร่วมด้วยนักธรณีวิทยาที่มีชื่อเสียงจากทั่วโลกช่วยกันต่อเติมโครงสร้างในมีความแข็งแรงและเหมาะสมสำหรับนักท่องเที่ยว ว่ากันว่านักเดินทางที่สามารถไต่จนถึงบนยอดปราสาทที่ระดับความสูงราว 90 เมตร สามารถชมหุบเขาต่างๆรวมถึงปล่องไฟนางฟ้า และภูเขาไฟเอซิเยสได้อย่างงดงามในวันที่ฟ้าเปิด บริเวณรอบๆปราสาทเต็มไปด้วยบ้านที่สร้างจากหินภูเขาไฟและชุมชนผู้อยู่อาศัยท้องถิ่น จากนั้นนำท่านชม ปราสาทอุชิซาร์ (Uchisar Castle) หินภูเขาไฟทางธรรมชาติที่สูงที่สุดในภูมิภาคคัปปาโดเกีย ซึ่งเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของบริเวณนี้ สามารถมองเห็นได้จากระยะไกลทั้งจากหุบเขานกพิราบและหุบเขาอื่นๆมากมาย ภายในตัวภูเขา เต็มไปด้วยห้องที่เชื่อมต่อกันมากมาย เคยถูกใช้เป็นป้อมปราการ และยังเป็นที่ลี้ภัยสงครามสำหรับซ่อนตัวยามข้าศึกรุกราน และจากนั้นมาเป็นที่พักอาศัยนานนับทศวรรษตั้งแต่อดีตกาล บริเวณรอบๆเต็มไปด้วยที่พักอาศัยของชาวเมือง ร้านค้าของชำร่วยมากมาย ปัจจุบันปราสาทอุชิซาร์ถูกอนุรักษ์เป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่อุทยานแห่งชาติตั้งแต่ ปี ค.ศ.1986 โดยองค์กรยูเนสโก้เป็นต้นมา ได้เวลานำท่านแวะชมโรงงานทอพรม ต่อด้วยโรงงานอัญมณี พร้อมจับจ่ายซื้อของฝากตามอัธยาศัย |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำ ในโรงแรมที่พัก |
ที่พัก | HILTON AVANOS / OR SUHAN HOTEL หรือเทียบเท่า |
วันที่ 3 | หุบเขาอิลารา - โบสถ์ Kokar Kilise - โบสถ์ Agacalti Kilise - อาดานา - สุเหร่า Sebanci Central Mosque |
Optional | (ท่านสามารถเลือกซื้อ Optional Hot Air Balloon Tour ได้ สนนราคาประมาณ 220 USD ต่อท่าน สำหรับประกันภัยที่ทำจากเมืองไทย ไม่ครอบคลุมการขึ้นบอลลูน และ เครื่องร่อนทุกประเภท ดังนั้นการเลือกซื้อ Optional tour ขึ้นกับดุลยพินิจของท่าน) **Optional balloon tour ไม่ได้รวมอยู่ในโปรแกรมทัวร์ การดำเนินการการของบริษัทบอลลูนว่าขึ้นได้ หรือขึ้นไม่ได้ อยู่นอกเหนือการควบคุมของบริษัททัวร์ และไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆกับบริษัททัวร์ *** ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวมากมายเข้าไปท่องเที่ยวเขตคัปปาโดเกียเพื่อขึ้นบอลลูน ซึ่งบริษัทบอลลูนก็มีทั้งที่ขึ้นทะเบียนถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย ทั้งนี้ปริมาณการจองค่อนข้างสูง ทำให้บางคณะอาจไม่สามารถจองได้ หรือบางคณะจองได้ แต่บอลลูนเกิดขัดข้องก่อนขึ้น และไม่ได้ขึ้นเนื่องด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย *** |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม นำท่านเที่ยวชม หุบเขาอิลารา (Ihlara Valley) ซึ่งมีลักษณะเป็นหุบเขาคล้ายแกรนด์แคนยอน ประกอบด้วยหน้าผาอันสูงชันและหุบเหว แต่มีความชุ่มชื้นเขียวขจีสมบูรณ์มาก กินพื้นที่หลายสิบกิโลเมตร และมีแม่น้ำไหลผ่านที่ก้นหุบเขานี้ อยู่ในอาณาบริเวณของเทือกเขา Hasan และ ภูเขา Melendiz เชื่อกันว่าในอดีตกาลเคยมีผู้คนอาศัยอยู่ราวแปดหมื่นคนในย่านนี้ รวมกว่า 4 พันครัวเรือนและเต็มไปด้วยโบสถ์ที่มีจิตรกรรมฝาผนังแบบเฟรสโก้อันสวยงามนับร้อยโบสถ์ ซึ่งปัจจุบันได้ถูกอนุรักษ์ไว้ และเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมเพียงส่วนน้อยเท่านั้น นำท่านชม โบสถ์ Kokar Kilise หรือ The Odorous Church หนึ่งในโบสถ์นับร้อยแห่งหุบเขาอิลารา ภายในเต็มไปด้วยจิตรกรรมฝาผนังแบบเฟรสโก้ ซึ่งเขียนเล่าเรื่องราวของพระแม่มารีและการประสูติของพระเยซูคริสต์ เล่าเป็นเรื่องราวผ่านภาพเขียนจนกระทั่งถึงพระกระยาหารมื้อสุดท้าย (The Last Supper) จวบจนเหตุการณ์ตรึงกางเขน นักโบราณวิทยาได้ประเมินว่าภาพเขียนเหล่านี้ ถูกวาดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 9-11 จากนั้นชม โบสถ์ Agacalti Kilise หรือ The Church under the tree อีกหนึ่งโบสถ์ที่มีความสวยงามของสถาปัตยกรรมโบราณ ที่มีความแตกต่างจากโบสถ์อื่นๆในช่วงยุคศตวรรษที่ 10-11 ที่ปกครองโดยจักรวรรดิไบเซนไทน์อย่างสิ้นเชิง โดยมีสีแดงเขียวและเหลืองที่แตกต่างกันอย่างลงตัวสีของภาพวาดและการตกแต่งของดอกไม้ดอกโบตั๋นและรูปแบบกระดานหมากรุกทั้งหมด จุดประสงค์เพื่อแสดงการต่อต้านการรุกรานจากอิทธิพลตะวันออก อีกฟากผนังฝั่งตรงข้ามบอกเล่าเรื่องราวของพระแม่มารี พระเยซูคริสต์ และนักบุญเซนต์จอห์น |
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น |
บ่าย | นำท่านเดินทางสู่ เมือง อาดานา (Adana) (ระยะทาง 254 กม. ใช้เวลาเดินทาง 4 ชม.) หนึ่งในเมืองสำคัญทางตอนใต้ของประเทศตุรกี อยู่ห่างจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนราว 35 กิโลเมตร มีประชากรอาศัยราว 1.7 ล้านคน เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นลำดับที่ 5 ของประเทศตุรกี นำท่าน แวะถ่ายรูปกับ สะพานหิน (Stone Bridge) ก่อสร้างตั้งแต่ยุคโรมัน ราว 120-135 ปีก่อนคริสตกาล เพื่อเป็นจุดเชื่อมต่อเส้นทางลำเลียงสินค้าระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปยังดินแดนอนาโตเลีย และเปอร์เซีย เป็นหนึ่งในสะพานที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่สามารถให้ยานยนต์สามารถแล่นผ่านได้ จวบจนยกเลิกให้เป็นทางเท้าเท่านั้นในปี ค.ศ.2007 เป็นต้นมา ปัจจุบันเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของเมือง มีความยาวทั้งสิ้นราว 300 เมตร นำท่านชม สุเหร่า Sebanci Central Mosque สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1998 ใช้เวลาก่อสร้างราว 10 ปี ปัจจุบันเป็นสุเหร่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศตุรกี ด้วยความสูงของโดม 54 เมตร และความสูงของหอคอย Minaret ที่ 99 เมตร บนเนื้อที่กว่า 52,600 ตารางเมตร สามารถให้ศาสนิกชนร่วมประกอบพิธีกรรมทางศาสนาได้ราว 28,500 คน สุเหร่ากลางแห่งนี้ก่อสร้างขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของมูลนิธิทางศาสนาของตุรกีและมูลนิธิ Sabanci |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำในโรงแรมที่พัก |
ที่พัก | SURMELI ADANA HOTEL / OR DIVAN / OR RAMADA หรือเทียบเท่า |
วันที่ 4 | กาเซียนเทป - พิพิธภัณฑ์ซุกม่า โมเสก - ซานลีอูร์ฟา - ถ้ำแห่งอับราฮัม |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม นำท่านเดินทางสู่ เมืองกาเซียนเทป (Gaziantep) (ระยะทาง 223 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชม.) เมืองทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศตุรกีในเขตอนาโตเลีย เป็นหนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่ยังมีประชากรตั้งรกรากอาศัยอยู่ โดยมีชื่อเมืองในอดีตว่า แอนเทป (Antep) ในยุคออตโตมัน ซึ่งมีสมมติฐานหลากหลายถึงที่มาของชื่อเมืองโบราณแห่งนี้ และหนึ่งในนั้นเป็นรากศัพท์ภาษาฮีไทด์ ซึ่งแปลว่า ดินแดนแห่งกษัตริย์ (The King’s land) ในปี ค.ศ.1921 รัฐสภาตุรกีได้ประกาศยกย่องเมืองกาเซียนเทปให้เป็น “แอนเทป วีรบุรุษทางสงคราม” ด้วยเหตุที่สามารถต่อกรกับกองกำลังฝรั่งเศสในสงครามฟรังโก้-เตอร์กิช ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสงครามก่อนที่ตุรกีจะได้ประกาศตนเป็นอิสรภาพ ซึ่งต่อมาได้ถูกเปลี่ยนชื่อเมืองเป็นกาเซียนเทป เมื่อปี ค.ศ.1928 นำท่านเข้าชม พิพิธภัณฑ์ซุกม่า โมเสก (Zeugma Mosaic Museum) พิพิธภัณฑ์โมเสกที่ใหญ่ที่สุดในโลก บนเนื้อที่พิพิธภัณฑ์จัดแสดงกว่า 90,000 ตารางเมตร เปิดให้เข้าชมครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2011 คอลเลคชั่นพิพิธภัณฑ์ซุกม่าโมเสกประกอบด้วยกระเบื้องโมเสก 2,448 ตารางเมตรจากสมัยโรมันและปลายยุคโบราณ จิตรกรรมฝาผนังกว่า 140 ตารางเมตร ประกอบทั้งโบราณวัตถุมากมายที่จัดแสดงในสถานที่แห่งนี้ และภาพวาดที่มีชื่อเสียงที่สุดซึ่งนักท่องเที่ยวต่างแวะมาเยี่ยมชม คือภาพโมเสกสาวยิปซี จากนั้นนำท่านชม ปราสาทกาเซียนเทป (Gaziantep Castle) ป้อมสังเกตการณ์โบราณที่สร้างขึ้นด้วยหินในยุคจักรวรรดิฮีไทด์และภายหลังต่อเติมเป็นปราสาทเต็มรูปแบบยุคจักรวรรดิโรมัน ตั้งอยู่บนเชิงเขาใจกลางเมืองกาเซียนเทป ประกอบด้วยหอคอยทั้งหมดจำนวน 12 หอ ซึ่งหลักฐานทางประวัติศาสตร์บ่งชี้ว่าเป็นหนึ่งในป้อมปราการสำคัญที่ไว้ต่อต้านกองกำลังฝรั่งเศสหลังถูกรุกรานจากการล่มสลายของจักรวรรดิออตโตมัน ปัจจุบันปราสาทกาเซียนเทปเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวให้บุคคลทั่วไปเข้าชมได้ |
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น |
บ่าย | นำท่านเดินทางสู่ เมืองซานลีอูร์ฟา (Sanliurfa) (ระยะทาง 150 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม.) หรือชื่อเรียกพื้นเมืองคือ เมืองอูร์ฟา (Urfa) หรือในอดีตเรียก อิเดสซ่า (Edessa) ตั้งอยู่บริเวณที่ราบ ห่างจากแม่น้ำยูฟราเตส (Euphrates River) ราว 80 กิโลเมตร เป็นหนี่งในเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุดเมืองหนึ่งของโลก ก่อตั้งเมื่อ 4 ปีก่อนคริสตกาลตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ แต่เชื่อกันว่ามีต้นกำเนิดก่อนหน้านั้น โดยย้อนไปถึงราว 9000 ปีก่อนคริสตกาล เมืองอูร์ฟาเป็นเมืองบ้านเกิดของ อับราฮัม หรือ อับราม ศาสดาผู้มีความสำคัญทางศาสนาอิสลามและศาสนาคริสต์ตามพระคัมภีร์ นำท่านชม ถ้ำแห่งอับราฮัม (Cave of Abraham) สถานที่เกิดของท่านศาสดาอับราฮัมในเมืองอูร์ฟาเป็นสถานที่แสวงบุญที่มีชื่อเสียงในหมู่ศาสนิกชนที่มาสวดภาวนาและแสดงความเคารพต่อศาสดาที่มีความศรัทธาให้ เชื่อกันว่าศาสดาอับราฮัมเกิดในถ้ำแห่งนี้ และใช้เวลากว่าสิบปีในช่วงหนึ่งของชีวิตเพื่อปกป้องทารกแรกเกิดที่ถูกสั่งฆ่าโดยคำสั่งของกษัตริย์นิมรอทผู้โหดร้าย จากนั้นนำท่านชม บ่อปลาศักดิ์สิทธิ์ (The pool of Sacred fish) หนึ่งในแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองอูร์ฟา ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสถานที่ซึ่งกษัตริย์นิมรอทได้โยนศาสดาอับราฮัมลงสู่กองฟืนที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิง แต่กองไฟเหล่านั้นกลับเปลี่ยนเป็นสายน้ำ และกองฟืนได้เปลี่ยนกลายเป็นปลาศักดิ์สิทธิ์ ปัจจุบันบ่อน้ำแห่งนี้เต็มไปด้วยปลาคาร์ฟ ซึ่งเชื่อกันว่าหากผู้ใดได้เห็นปลาคาร์ฟสีขาวจะนำมาซึ่งความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำในโรงแรมที่พัก |
ที่พัก | EL RUHA HOTEL / OR HILTON GARDEN INN SANLUIRFA หรือเทียบเท่า |
วันที่ 5 | ฮาราน - เขื่อนอะตาเติร์ก - อดิยามาน |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม นำท่านเดินทางสู่ เมืองฮาราน (Harran) (ระยะทาง 50 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม.) หนึ่งในเมืองโบราณสำคัญบริเวณดินแดนเมโซโปเตเมียตอนบน ซึ่งมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ทั้งในแง่ของการพาณิชย์ วัฒนธรรม และความเชื่อทางศาสนาในช่วงยุคทองสำริด หรือประมาณ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล นำท่านชม หมู่บ้านรวงผึ้ง (The Beehive Village) หมู่บ้านที่สร้างหลังคาทรงโคนขึ้นด้วยหินลักษณะคล้ายคลึงกับรวงผึ้ง ตัวโครงบ้านสร้างขึ้นจากดินโคลน ขึ้นโครงด้วยเสา และพอกด้วยมูลวัว บ้างอาจมีการเจาะรูเพื่อเป็นช่องระบายอากาศเพื่อให้มีอากาศไหลเวียนถ่ายเทเข้าตัวบ้าน เชื่อกันว่าการสร้างบ้านลักษณะนี้เป็นอิทธิพลจากชนม์เผ่า Bantu ซึ่งมีรกรากออยู่บริเวณระหว่างทะเลทรายซาฮาร่าและทวีปแอฟริกา |
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น |
บ่าย | นำท่านเดินทางสู่ เขื่อนอะตาเติร์ก (Ataturk Dam) (ระยะทาง 114 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม.) หรือชื่อเดิมคือ เขื่อนคาราบาบา (Karababa Dam) สร้างขึ้นจากหิน ด้วยจุดประสงค์เพื่อการผลิตกระแสไฟฟ้าและเพื่อทดน้ำสู่ที่ราบ สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1983 และเสร็จสิ้นภายใน 7 ปีเมื่อปี ค.ศ.1990 โดยอ่างเก็บน้ำเบื้องหลังเขื่อนอะตาเติร์กเป็นอ่างเก็บน้ำที่มีความจุที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นลำดับ 3 ของโลก ที่ความจุ 48,700 ล้านลูกบาศก์เมตร ได้เวลานำท่านเดินทางสู่ เมืองอดิยามาน (Adiyaman) (ระยะทาง 56 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม.) ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้ง ก่อนมุ่งหน้าสู่ ภูเขาเนมรุต (Mount Nemrut) |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำในโรงแรมที่พัก |
ที่พัก | EUPHRAT NEMRUT/ OR HILTON GARDEN INN ADIYAMAN หรือเทียบเท่า |
วันที่ 6 | ภูเขาเนมรุต - ดิยาบากีร์ - มาร์ดิน |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม นำท่านเดินทางสู่ ภูเขาเนมรุต (Mount Nemrut) หรือภูเขาเทพเจ้า ภูเขาเนมรุตสูงอยู่ที่ระดับ 2,134 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งบนยอดเขารายล้อมด้วยรูปปั้นหัวคนมากมาย ซึ่งคาดว่าเป็นสุสานกษัตริย์ตั้งแต่สมัยราว 100 ปีก่อนคริสตกาล โดยหลักฐานทางประวัติศาสตร์บ่งชี้ว่า กษัตริย์ Antiochus ที่ 1 แห่งอาร์เมเนีย ได้มีคำสั่งให้สร้างสุสาน ซึ่งประกอบด้วยรูปปั้นจำลองของตน สูงราว 8-9 เมตร รูปปั้นสิงโตและนกอินทรีย์ เป็นคู่ๆ รวมไปถึงรูปปั้นเทพต่างๆตามตำนานกรีกและอาร์เมเนีย ซึ่งภายหลังถูกทำลายลงจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ทำให้ส่วนหัวกับส่วนตัวถูกแยกออกจากกัน เรียงรายเป็นหย่อมๆล้อมรอบบริเวณภูเขาเนมรุต ภูเขาเนมรุตถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของประเทศตุรกีโดย UNESCO เมื่อปี ค.ศ.1987
|
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น |
บ่าย | นำท่านเดินทางสู่ เมืองดิยาบากีร์ (Diyarbakir) (ระยะทาง 169 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชม.) หนึ่งในหัวเมืองหลักทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศตุรกี มีประชากรอาศัยราว 2.5 ล้านคน ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำไทกรีส (Tigris River) โดยประชากรที่อาศัยในเมืองนี้มีทั้งชาวตุรกีและชาวเคิร์ด นำท่านชม กำแพงเมืองดิยาบากีร์ (Diyarbakir City wall / Fortress) ซึ่งในอดีตใช้เป็นป้อมปราการป้องกันเมืองจากข้าศึก โดยกำแพงเมืองได้แบ่งเป็นสองชั้น สร้างขึ้นครั้งแรกราว 297 ปีก่อนคริสตกาลโดยชาวโรมันตามคำสั่งของจักรพรรดิคอนแสตนติอุสที่ 2 และถูกต่อเติมเรื่อยมา ให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นด้วยหินภูเขาไฟ และครั้งหนึ่งถูกขนานนามโดยเหล่าแม่ทัพว่าเป็น ป้อมปราการดำ “The Black Fortress” เป็นหนึ่งในกำแพงเมืองโบราณยุคก่อนคริสตกาล ซึ่งยังคงถูกรักษาสภาพไว้ได้เป็นอย่างดีจวบจนถึงยุคปัจจุบัน กำแพงเมืองดิยาบากีร์ครั้งหนึ่งถูกนำไปเทียบชั้นเป็นรองเพียงกำแพงเมืองจีนในแง่ของกำแพงป้องกันเมือง นอกจากนี้กำแพงเมืองดิยาบากีร์ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของประเทศตุรกีโดย UNESCO เมื่อปี ค.ศ.2015 นำท่านแวะถ่ายรูปกับ สุเหร่าประจำเมืองดิยาบากีร์ (The Great Mosque of Diyabajir) หนึ่งในสุเหร่าศักดิ์สิทธิ์ที่มีความสำคัญเป็นลำดับต้นๆของดินแดนเมโซโปเตเมีย สุเหร่าถูกสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.639 และถูกใช้งานช่วงระยะเวลาหนึ่งเป็นโบสถ์แห่งนักบุญเซนต์จอห์น และภายหลังแปลงกลับเป็นสุเหร่าใน ปี ค.ศ. 1091 ซึ่งหลากหลายส่วนได้รับแรงบันดาลใจและมีอิทธิพลด้านสถาปัตยกรรมคล้ายคลึงกับสุเหร่าอุมันยะฮ์แห่งนครดามัสกัสของประเทศซีเรีย ได้เวลานำท่านเดินทางสู่ เมืองมาร์ดิน (Mardin) (ระยะทาง 85 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชม.) |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำในโรงแรมที่พัก |
ที่พัก | HILTON GARDEN INN ADIYAMAN หรือเทียบเท่า |
วันที่ 7 | มาร์ดิน - สุเหร่าอูลูแห่งเมืองมาร์ดิน - ฮาซานเคียฟ - วาน |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม นำท่านชม Zinciriye Medresesi หนึ่งในอาคารอนุรักษ์ประจำเมืองมาร์ดิน ปัจจุบันเป็นวิทยาลัยศาสนศาสตร์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1385 กลุ่มอาคารแห่งนี้ประกอบด้วยมัสยิดและหลุมศพของผู้ที่มีความสำคัญทางศาสนา ซึ่งมีการออกแบบสถาปัตยกรรมแบบอิสลามได้อย่างลงตัวออกมามีความงดงามอย่างยิ่ง นำท่านถ่ายรูปกับ สุเหร่าอูลูแห่งเมืองมาร์ดิน (Mardin Grand Mosque / Ulu Mosque) ตัวอย่างสถาปัตยกรรมในยุคอาร์ทูคิดช่วงศตวรรษที่ 12 (ยุคที่ปกครองโดยราชวงศ์เติร์กเมนิสถาน) ตัวอาคารสร้างขึ้นด้วยหินเจียระและโดมถูกสร้างด้วยการเป่าและเซาะร่อง แต่ได้รับความเสียหายอย่างหนักครั้งสงครามที่เกิดขึ้นจากชาวเคิร์ดช่วงปี ค.ศ.1832 ปัจจุบันได้รับการบูรณธบางส่วนให้คงสภาพดีเหมือนเดิม นำท่านถ่ายรูปเบื้องล่างกับ ปราสาทมาร์ดิน (Mardin Castle) ตั้งอยู่เหนือตัวเมืองมาร์ดินบนหน้าผาหินอันสูงชัน สร้างขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ยุคสมัยโรมัน อายุราว 3000 ปี จากนั้นมีการต่อเติมช่วงศตวรรษที่ 15 เพื่อรองรับการลี้ภัยของชาวเมืองในยุคสงคราม |
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น |
บ่าย | นำท่านชม อารามดูรูซาฟาราน (Deyrulzafaran Monastery) หรืออารามแซฟฟรอน (Saffron Monastery) อารามซีเรียนออร์โธดอกซ์ของชาวคริสต์ ตั้งอยู่นอกเมืองมาร์ดินระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร โดยท่านสังฆราชแห่งคริสตจักรออร์โธดอกซ์ได้ย้ายถิ่นพำนักมาประจำอยู่ที่แห่งนี้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1160 หลังจากถูกขับไล่ออกจากเมืองอันตาคยา ทั้งนี้การพักอาศัยของพระสังฆราชได้สิ้นสุดลงเมื่อปี ค.ศ.1932 และย้ายไปเมืองโฮมและเมืองดามัสกัสในประเทศซีเรียในที่สุด กลุ่มอาคารแห่งนี้ถูกบ่งชี้ด้วยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่าสร้างขึ้นตั้งแต่ช่วง 493 ปีก่อนคริสตกาล และได้รับความเสียหายจากสงคราม ซึ่งภายหลังได้รับการบูรณะภายนอกขึ้นใหม่ช่วงปี ค.ศ.2007 นำท่านเดินทางสู่ เมืองฮาซานเคียฟ (Hasankayf) (ระยะทาง 112 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม.) หมู่บ้านโบราณเล็กๆที่มีความสวยงาม ตัวเมืองถูกแบ่งเป็นสองส่วนโดยแม่น้ำไทกริส ซึ่งถูกประกาศเป็นเขตอนุรักษ์ทางธรรมชาติโดยรัฐบาลตุรกีตั้งแต่ปี ค.ศ.1981 ปัจจุบันผู้อยู่อาศัยส่วนใหญ่เป็นชาวเคิร์ด ก่อตั้งรกรากครั้งแรกยุคสมัยโรมัน และถูกช่วงชิงการปกครองมาหลายยุคสมัย ไม่ว่าจะเป็น ไบเซนไทน์ อาร์ทูคิด อัยยูบิดส์ และมองโกล อย่างไรก็ตาม เมืองที่คงเสน่ห์แห่งนี้ยังประสบสภาวะเสี่ยงจมใต้บาดาลจากแผนการก่อสร้างเขื่อนในอนาคต ได้เวลานำท่านเดินทางสู่ เมืองวาน (Van) (ระยะทาง 334 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชม.) |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำในโรงแรมที่พัก |
ที่พัก | BUYUK URARTU / OR TAMARA HOTEL / OR DOUBLETREE HILTON หรือเทียบเท่า |
วันที่ 8 | วาน - ล่องเรือสู่เกาะอัคดาม่า - โบสถ์แห่งไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์ - ป้อมปราการแห่งเมืองวาน - เมืองอิสตันบูล |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม นำท่าน ล่องเรือสู่เกาะอัคดาม่า (Akdamar Island) ห่างจากฝั่งประมาณ 3 กิโลเมตร มีพื้นที่บนเกาะราว 0.7 ตารางกิโลเมตร เกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 จากจำนวนเกาะทั้งหมด 4 เกาะแห่งทะเลสาบวาน ทะเลสาบบนที่ราบสูบระดับ 1,640 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และยังเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในประเทศตุรกีด้วย นำท่านชม โบสถ์แห่งไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์ (Cathedral of the Holy Cross) โบสถ์โบราณสไตล์อาร์เมเนียนอะพอสโตลิค สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.915 สร้างขึ้นเพื่อเป็นคริสตจักรแห่งราชสำนักเพื่อกษัตริย์ Vaspurakan และต่อมารับใช้เป็นที่นั่งของ Catholicosate แห่ง Aghtamar ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ |
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น |
บ่าย | นำท่านชม ป้อมปราการแห่งเมืองวาน (Van Citadel / Fortress of Van) ป้อมปราการที่สร้างขึ้นจากหินโดยชนม์เผ่าโบราณ Urartu ซึ่งคาดการณ์ว่าอาศัยอยู่ในย่านนี้ช่วง 860-590 ปีก่อนคริสตกาล ตั้งอยู่บนหน้าผาที่สูงชัน ส่วนล่างของผนังสร้างขึ้นจากหินบะซอลต์ และส่วนอื่นๆสร้างขึ้นจากอิฐโคลน หลักฐานทางประวัติศาสตร์มีการบันทึกว่าป้อมปราการแห่งนี้ไม่ได้ถูกใช้ทางการทหาร แต่หากถูกใช้เพื่อการอาศัยและการปกครองเมืองที่อยู่ภายเบื้องล่างเสียมากกว่า |
16.00 น. | นำท่านเดินทางสู่ สนามบินวาน (Van) เพื่อเตรียมตัวขึ้นเที่ยวบินในประเทศสู่ อิสตันบูล |
18.40 น. | ออกเดินทางสู่ เมืองอิสตันบูล โดยเที่ยวบิน TK 2751 (***สายการบินบริการอาหารว่างระหว่างเที่ยวบิน) |
21.05 น. | เดินทางถึงสนามบินเมืองอิสตันบูล |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารไทย |
ที่พัก | RAMADA TEKSTILKENT / OR RAMADA ALIBEYKOY หรือเทียบเท่า |
วันที่ 9 | อิสตันบูล - เขตคาร์ดิกอย - ห้างสรรพสินค้าอิสตินพาร์ค |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม นำท่านข้ามฟากสู่ฝั่ง เอเชียของเมืองอิสตันบูล ใน เขตคาร์ดิกอย (Kardikoy) หนึ่งในอาณาเขตชุมชนที่ประชากรหนาแน่นและมีสีสันที่สุดเขตหนึ่งในมหานครอิสตันบูล คาร์ดิกอยตั้งอยู่บนคาบสมุทรอนาโตเลี่ยน ซึ่งเต็มไปด้วยเขตที่อยู่อาศัย และร้านค้ามากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรงหนัง โรงละครโอเปร่า ร้านหนังสือ และสถานที่พักผ่อนหย่อนใจมากมาย นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของในกลางการรถไฟ และท่าเรือของประเทศอีกด้วย อีกทั้ง มหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในกรุงอิสตันบูล นามว่า มหาวิทยาลัยมาห์มาร่า ก็ยังตั้งอยู่ในอาณาเขตคาร์ดิกอย นำท่านชมบริเวณตัวเมือง สัมผัสกลิ่นอายของการใช้ชีวิตแบบชาวตุรกี และอิสระให้ท่านถ่ายรูปตามอัธยาศัย ได้เวลานำท่านเดินทางกลับสู่ ฝั่งยุโรป ได้เวลานำท่านช้อปปิ้ง ณ ศูนย์ผลิตเสื้อหนังคุณภาพสูง และร้านขนม Turkish Delight อิสระให้ท่านเลือกซื้อสินค้าตามอัธยาศัย |
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารจีน |
บ่าย | นำท่านเดินทางสู่ ห้างสรรพสินค้าอิสตินพาร์ค (Istinye Park) ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่แห่งนครอิสตันบูลที่เต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย ทั้งสินค้าแบรนด์เนมยุโรปและแบรนด์ท้องถิ่น อาทิเช่น ARMANI, C&A, CHANEL, DIOR, GAP, GUCCI, H&M, HERMES, LONGCHAMP, LOUIS VUITTON, MARK & SPENCER, MANGO, PRADA, ZARA และแบรนด์อื่นๆมากมาย อิสระให้ท่านได้ช้อปปิ้งอย่างจุใจ |
17.00 น. | นำท่านเดินทางสู่ สนามบินเมืองอิสตันบูล ***อิสระให้ท่านรับประทานอาหารค่ำภายในสนามบินอิสตันบูล*** |
วันที่ 10 | กรุงเทพฯ |
01.25 น. | ออกเดินทางสู่ ประเทศไทย โดยเที่ยวบินที่ TK 68 (ใช้เวลาบินประมาณ 9.30 ชั่วโมง) สายการบินฯ มีบริการอาหารค่ำและอาหารเช้าระหว่างเที่ยวบิน |
15.00 น. | เดินทางถึง สนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ (BON VOYAGE) |