รายละเอียดทัวร์

www.TripleEnjoy.com
by Double Enjoy Travel Co., Ltd.

300/50 Nawamin Road, Nawamin, Buengkum, BKK 10240
Tel: 02-379-2955  Hotline: 099-130-6886  Fax: 02-379-1163 (Auto)

 Website: www.tripleenjoy.com   E-mail: [email protected]


 

Juristic Identification No. 0125554005216                                                               TAT License No. 11/05307


ทัวร์จีน

TE359 : โปรแกรมทัวร์จีน เส้นทางหลวงเสฉวน-ทิเบต ไฮเวย์ G318 10 วัน 9 คืน (TG)


Thai Airways (TG)
คัดลอก URL คัดลอก URL
เรทโรงแรม เรทโรงแรม เรทโรงแรม เรทโรงแรม เรทโรงแรม
Dorsett Hotel
เรทโรงแรม เรทโรงแรม เรทโรงแรม เรทโรงแรม
Holiday Inn Express Linzhi Airport Hotel
เรทโรงแรม เรทโรงแรม เรทโรงแรม เรทโรงแรม
Holiday Inn Hotel , Batang
เรทโรงแรม เรทโรงแรม เรทโรงแรม เรทโรงแรม เรทโรงแรม
Intercontinental Lhasa Paradise Hotel
เรทโรงแรม เรทโรงแรม เรทโรงแรม เรทโรงแรม
Kam Ba Hotel
เรทโรงแรม เรทโรงแรม เรทโรงแรม เรทโรงแรม เรทโรงแรม
Ranwu Inrernational Self-Driving Camp
เรทโรงแรม เรทโรงแรม เรทโรงแรม เรทโรงแรม
Sheng Fang Hotel
เรทโรงแรม เรทโรงแรม เรทโรงแรม เรทโรงแรม
Vienna Hotel , Yajiang
TE359 : โปรแกรมทัวร์จีน เส้นทางหลวงเสฉวน-ทิเบต ไฮเวย์ G318 10 วัน 9 คืน (TG)

ชมสะพานโซ่หลูติ้ง สะพานแห่งประวัติศาสตร์การสู้รบระหว่างกองทัพแดงและกองทัพเจียงไคเช็ค

เยือนเมืองคังติ้ง ประตูสู่แคว้นคามแห่งทิเบต เมืองเก่าแก่บนเส้นทางการค้าโบราณขึ้นชื่อเรื่องการค้าใบชา ม้า และขนสัตว์

ชมทัศนียภาพทางธรรมชาติที่สวยงามจนได้รับการยกย่องให้เป็น "สรวงสวรรค์ของนักถ่ายภาพ" ณ เมืองซินตูเฉียว

ชมหมู่บ้านทิเบตโบราณที่มีสีสันสุด ๆ ที่เมืองหลี่ถัง

ชมภูมิทัศน์ที่สวยงามน่าทึ่งและแสนหฤโหดของถนนมหัศจรรย์นามว่า "ถนน 72 โค้งแห่งนูเจียง"

ชมทะเลสาบรันวู สวยใสดั่งกระจกที่สีของน้ำจะเปลี่ยนไปตามฤดูกาล

เยือนเมืองหลินจือ ดินแดนที่ได้รับการขนานนามว่า "บัลลังก์แห่งดวงอาทิตย์"

เมืองลาซา เมืองศูนย์กลางทางศาสนาและการปกครองของทิเบต


 
รายละเอียดการเดินทาง

วันที่ 1กรุงเทพฯ - เฉิงตู - ถนนคนเดินควนไจ่เซี่ยงจื่อ
07.00 น.พร้อมกันที่ สนามบินสุวรรณภูมิ เคาน์เตอร์สายการบินไทย Thai Airways ชั้น 4 ประตู 5 Row H,J โดยมีเจ้าหน้าที่บริษัทคอยให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวกในการเช็คอินด้านสัมภาระและเอกสารให้กับท่าน
10.55 น.เหินฟ้าสู่ เมืองเฉิงตู ประเทศจีน โดยสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG 618 (10.55-15.05)(ใช้เวลาบิน 3 ชั่วโมง 10 นาที) (มีบริการอาหารบนเครื่อง)
15.05 น.เดินทางถึงสนามบินนานาชาติเทียนฟู เมืองเฉิงตู ประเทศจีน หลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองพร้อมรับกระเป๋าสัมภาระเรียบร้อยแล้ว พบกับไกด์ท้องถิ่น (กรุณาปรับนาฬิกาตามเวลาท้องถิ่น เวลาที่จีน เร็วกว่า เวลาที่ประเทศไทย 1 ชั่วโมง)

นำท่านสำรวจเมืองเฉิงตู เดินทางไปยัง ถนนควนไจ่เซี่ยงจื่อ (Kuan Zhai Xiang Zi) มีความ หมายว่า ซอยกว้างซอยแคบ เป็นถนนคนเดินที่เก่าแก่ที่สุดในนครเฉิงตู เดิมเป็นถนนโบราณที่สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิง และเคยเป็นที่ตั้งค่ายพักทหารเมื่อ 300 กว่าปีก่อน ต่อมาเป็นที่ตั้งชุมชน ซอยกว้างนั้นเป็นที่อยู่ของผู้มีฐานะ ใช้รถม้าสัญจรซอยจึงกว้าง ส่วนซอยแคบนั้นจะเป็นที่อยู่ของคนชั้นกลางใช้เดินสัญจร แต่ปัจจุบันทางการจีนได้จัดให้เป็นเขตอนุรักษ์โบราณสถาน จึงถูกปรับปรุงพัฒนาขึ้นมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ที่สำคัญเป็นแหล่งช้อปปิ้งเพลินๆ อาทิ ร้านหนังสือ ร้านชากาแฟ ร้านเสื้อผ้า ไปจนถึงร้านอาหารต่างๆมากมาย ซึ่งถนนคนเดินสายนี้มีเสน่ห์ด้านความเป็นอาคารสถาปัตย์จีนที่ตกแต่งผสมผสานเรื่องราววิถีชีวิตการเป็นอยู่ของชาวเฉิงตูในสมัยโบราณเคล้ากับความทันสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว ล่าสุดที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์จีนได้ประกาศชื่อให้ถนนควนไจ่เซี่ยงจื่อเป็น “ถนนคนเดินแบบอย่างของจีน” 
ค่ำรับประทานอาหารค่ำ
ที่พักDorsett Hotel 5*, Chengdu หรือเทียบเท่า
วันที่ 2เฉิงตู - สะพานโซ่หลูติ้ง - เมืองคังติ้ง -  ทะเลสาบมู่เกอซัว
เช้ารับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
 
หลังจากรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อย นำท่าน เดินทางจาก เมืองเฉิงตู-เมืองหลูติ้ง (270 KMS / 4 HRS) บนเส้นทางหลวงหมายเลข G318 มีอำเภอเล็กๆแห่งหนึ่งชื่อ หลูติ้ง ที่ตั้งอยู่สองฝั่งแม่น้ำต้าตู้เหอ (Dadu River) ที่มีต้นธารมาจากทิเบตไหลเชี่ยวกรากในทุกฤดูกาล

นำท่านชม สะพานโซ่หลูติ้ง (Luding Bridge) ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ข้ามแม่น้ำต้าตู้เหอ ในสมัยจักรพรรดิคังซีแห่งราชวงศ์ชิง ราวปีค.ศ.1705 มีความยาวประมาณ 101 เมตร กว้าง 3 เมตร ขึงโซ่ข้ามสองฝั่งแม่น้ำ โดยหัวสะพานทั้งสองฝั่งมีศาลา มีแท่นศิลาใหญ่รับน้ำหนักโซ่ที่ขึงจากฟากหนึ่งไปยังอีกฟากหนึ่ง ราวสะพานมีโซ่ข้างละ 2 เส้น แนวพื้นสะพานมีโซ่ 9 เส้น รวมห่วงโซ่ทั้งหมด 12,164 ข้อ รวมน้ำหนักโซ่ถึง 40 ตัน โดยนัก ท่องเที่ยวสามารถทดสอบความตื่นเต้นหวาดเสียวในการก้าวข้ามบนแผ่นไม้สะพานแห่งนี้ไปยังอีกฟากฝั่ง ท่ามกลางภูมิประเทศที่โอบล้อมด้วยภูเขาสูง พร้อมรำลึกวีรกรรมสะพานหลูติ้งไปด้วยกันในช่วงแรกของการต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เหตุการณ์สำคัญที่สุดเหตุการณ์หนึ่งก็คือ การถอยทัพหนีการล้อมปราบจากรัฐบาลก๊กมินตั๋งของเจียงไคเช็ค ที่เรียกกันว่า การเดินทัพทางไกล (Long March) พรรคคอมมิวนิสต์จีนต้องเดินทางไกลถึง 12,500 กิโลเมตร ในช่วงระยะเวลาประมาณ 1 ปี ระหว่างเดือนตุลาคม 1934 ถึงตุลาคม 1935 ครั้งนั้นกองทัพจีนแดงของพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งมีกำลังพลน้อยกว่ารัฐบาลก๊กมินตั๋ง อย่างมาก จำเป็นต้องหนีจากฐานที่มั่นเดิม ผ่าน 11 มณฑล และพื้นที่ทุรกันดารมากมาย ว่ากันว่าทหารจีนแดงตอนเริ่มต้นเดินทางไกลมีจำนวน 100,000 คน แต่เมื่อจบภารกิจเดินทางไกลกลับเหลือเพียง 8,000 คนเท่านั้น ภายใต้ความสูญเสียมากมายขนาดนั้น เหมาเจ๋อตุงกลับประกาศชัยชนะโดยบอกว่า ไม่เคยมีครั้งไหนในประวัติศาสตร์โลกที่มีการเดินทัพทางไกลขนาดนี้ ได้พิสูจน์ความเป็นวีรชนคนกล้าของกองทัพแดง พรรคก๊กมินตั๋งทุ่มทรัพยากรล้อมปราบกองทัพแดงมากมายขนาดนั้นแต่ยังไม่สามารถพิชิตกองทัพแดงได้ ที่สำคัญที่สุดพรรคคอมมิวนิสต์ได้โฆษณาป่าวประกาศนโยบายปลดแอกมวลชนต่อประชาชน 200 ล้านคนใน 11 มณฑลด้วยการเดินทางไปทั่วแผ่นดินจีน

วีรกรรมยึดสะพานหลูติ้ง เพื่อข้ามแม่น้ำต้าตู้เหอในเดือนพฤษภาคม 1935 ตอนนั้นกองทัพแดงของพรรคคอมมิวนิสต์ได้ถอยทัพมาถึงแม่น้ำต้าตู้เหอและต้องรีบข้ามแม่น้ำสายนี้ไปให้ได้ มิฉะนั้นกอง ทัพก๊กมินตั๋งของเจียงไคเช็คจะทำลายกองทัพแดงได้สิ้นเชิง แม่น้ำสายนี้เป็นสายน้ำเชี่ยวกราก สองฟากฝั่งเป็นหน้าผา มีวังวนแก่งหินที่เป็นอันตรายเต็มไปหมด แต่ที่นั่นมีสะพานข้ามแม่น้ำแห่งเดียวคือ สะพานหลูติ้ง แต่เมื่อกองทัพแดงไปถึง กองทัพที่อยู่ฝ่ายเจียงไคเช็คได้ถอดไม้กระดานปูพื้นเก็บไปเสียแล้ว เหลือเพียงโซ่เหล็กเท่านั้น ภารกิจของกองทัพแดงตอนนั้นคือ ต้องข้ามสะพานหลูติ้งและยึดฐานที่มั่นฝั่งตรงข้ามให้ได้ ก่อนที่กองทัพใหญ่ของเจียงไคเช็คจะมาถึง นี่คือภารกิจที่แทบเป็นไปไม่ได้เพราะอีกฝั่งของโซ่เหล็ก กองทัพท้องถิ่นที่อยู่ฝ่ายเจียงไคเช็คได้วางกำลังพร้อมยิงใส่ทหารกองทัพแดงที่พยายามข้ามมา กองทัพแดงประกาศรับสมัครหน่วยกล้าตายจำนวน 22 คน รับภารกิจไต่โซ่เหล็กข้ามแม่น้ำ ฝ่าดงกระสุนไปยึดฐานที่มั่นอีกฝั่งแม่น้ำให้ได้ เพื่อให้ทหารอีกหนึ่งกองร้อยรีบเอาไม้กระดานปูสะพานข้ามไป ทหารทั้ง 22 นายถือปืนประจำตัว พกลูกระเบิดมือคนละ 12 ลูก สะพายดาบทหารม้า มุ่งหน้าไต่โซ่เหล็กไปข้างหน้าท่าม กลางห่ากระสุนที่ยิงต่อสู้กัน หน่วยกล้าตาย 4 คนร่วงลงจากสะพานตกลงไปในแม่น้ำเชี่ยวกรากลอยลับไป ส่วนข้าศึกอีกฝั่งเริ่มจุดไฟเผาสะพานไม่ให้ข้ามมาได้ หน่วยกล้าตายที่เหลือฝ่าไฟเข้าไปจนยึดสะพานอีกฝั่งไว้ได้ ทำให้กองกำลังที่เหลือปูสะพานและยกทัพนับหมื่นข้ามสะพานมาได้ ชัยชนะเหนือสะพานหลูติ้งของกองทัพแดงได้รับการโจษจันไปทั่วแผ่นดินจีน ภาพวาดหน่วยกล้าตายทั้ง 22 คนที่กำลังข้ามสะพานได้รับการเผยแพร่ไปทั่วประเทศ 
กลางวันรับประทานอาหารกลางวัน
บ่ายจากนั้น เดินทางจากเมืองหลูติ้ง-คังติ้ง (55 KMS / 1 HR) ปัจจุบัน เมืองคังติ้ง (Kangding) หรือในภาษาทิเบตเรียกว่า ดาร์โด (Dardo) คือเมืองเอกของเขตปกครองตนเองชนชาติทิเบตกานจือ มณฑลเสฉวน ตั้งอยู่ในระดับความสูง 2,600 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล เมืองนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ได้ชื่อว่าเป็นประตูสู่แคว้นคามของทิเบต เป็นเมืองเก่าแก่บนอดีตเส้นทางการค้าโบราณขึ้นชื่อเรื่องการค้าขายใบชาและม้าจากจีนกับขนสัตว์จากทิเบต และมีบท บาทสำคัญในแง่เศรษฐกิจการค้า การเมืองการปกครอง วัฒนธรรมของเขตคามหรือคังปาของทิเบต ปัจจุบันเมืองนี้ได้รับการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว เห็นได้ว่าที่นี่มีการสร้างสนามบินคังติ้ง ณ ความสูง 4,280 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลเสร็จสิ้นในปีค.ศ.2009 ถือเป็นสนามบินที่ตั้งอยู่สูงสุดเป็นอันดับ 3 ของโลก เมืองนี้มีชัยภูมิที่ดีมีแม่น้ำเจ๋อตัว (Zhe Duo River) ที่ไหลผ่านและมีภูเขาเผ่าหม่าตั้งงามสง่า เมืองนี้เป็นที่รู้จักโด่งดังทั่วประเทศจีน เพราะมีบทเพลงรักที่กล่าวถึงเมืองคังติ้งและภูเขาเผ่าหม่า (Kangding love song) ซึ่งไพเราะมากฮิตทั่วบ้านทั่วเมืองจนถึงปัจจุบัน นำท่านนั่งรถชมเมืองและแวะถ่ายรูปบรรยากาศเมืองบางแห่งเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถพอสมควร

จากนั้นนำท่านเดินทางไปชม ทะเลสาบมู่เกอซัว (Mugecuo Lake) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ทะเลสาบคังติ้งแห่งรัก (Kangding Love Lake) ตั้งอยู่ในบริเวณ Mugecuo Scenic Area ซึ่งประกอบ ด้วยทะเลสาบ น้ำตก น้ำพุร้อน เขตป่าทึบ ที่มีดอกไม้ป่าหอม ยอดเขาและโขดหินรูปทรงสวยแปลกตา สถานที่แห่งนี้มีทิวทัศน์ที่งดงามตลอดทั้งปี เนื่องจากตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเขตคังติ้ง แหล่ง กำเนิดเพลงรักในจังหวัดปกครองตนเองทิเบตกานซี ของมณฑลเสฉวน สถานที่แห่งนี้จึงเป็นที่รู้จัก ในชื่อ Kangding Love Song Scenic Area ซึ่งนับเป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักภายในเขตภูเขากงก้า (Gongga) มีพื้นที่ทั้งหมดมีพื้นที่ประมาณ 300 ตารางกิโลเมตร ทะเลสาบมู่เกอซัวนี้ มีความสูง 3,700 เมตร เป็นทะเลสาบที่ราบสูงขนาดใหญ่ พื้นน้ำครอบคลุมประมาณ 3 ตารางกิโลเมตร และจุดที่ลึกที่สุดอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลมากกว่า 70 เมตร ทะเลสาบ แห่งนี้ล้อมรอบด้วยต้นสนซีดาร์ และต้นกุหลาบพันปี (โรโดเดนดรอน) และบริเวณใกล้เคียง ซึ่งเป็นเขตทุ่งหญ้า (Tagong Grassland) อันกว้างใหญ่เต็มไปด้วยพืชพรรณที่เขียวชอุ่ม ทะเลสาบและพื้นที่โดยรอบจึงเป็นที่หากินของฝูงสัตว์ต่างๆ เช่น แพะ เป็ด กวาง และไก่ป่า
ค่ำรับประทานอาหารค่ำ
ที่พักKam Ba Hotel 4*, Kangding หรือเทียบเท่า
วันที่ 3คังติ้ง-อุทยานหินโมซือ-เจดีย์มูหยา-วัดถ่ากง-ทุ่งหญ้าถ่ากง-ซินตูเฉียว-ย่าเจียง
เช้ารับประทานอาหารเช้าในโรงแรม

เดินทางจากเมืองคังติ้ง-เมืองถ่ากง (100 KMS / 2 HRS 30 MIN) เส้นทางจากเมืองคังติ้งไปยังเมืองถ่ากง รถจะต้องวิ่งข้ามภูเขาเจ๋อตัว (Zheduoshan) ที่มีจุดสูงสุดอยู่ที่ 4,298 เมตร  พาท่านแวะถ่ายภาพ ณ บริเวณเจ๋อหัวพาส (Zheduo Mountain Pass) ว่ากันว่าเส้นทางตัดผ่านภูเขานี้คดไปมากว่า 30 กิโลเมตรเลยทีเดียว
ระหว่างทางแวะเที่ยวชม อุทยานหินโมซือ (Moshi Stone Park) เป็นอุทยานป่าหินสีดำธรรมชาติ ที่ตั้งอยู่ระหว่างหมู่บ้านคามาและหมู่บ้านจงกู ในเมืองบามี เดิมเรียกชื่อว่า อุทยานหินบามี (Bami Stone Forest) มีพื้นที่ประมาณ 5 ตารางกิโลเมตร และตั้งอยู่บนความสูง 3,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ถูกจัดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติในระดับ 5A ของทางการจีน หินที่นี่เป็นชนิดหินกราไฟต์สีดำ ดังนั้นสีของป่าหินที่นี่จึงเป็นสีดำตามธรรมชาติ ราวกับหมึกสีดำ ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 5 ตารางกิโลเมตร โดยมีกลุ่มยอดเขา เปรียบเสมือนหอคอยนับพันลูกรวมกลุ่มเรียงกันเป็นคลื่นป่าหิน ป่าหินธรรมชาติที่นี่เกิดจากการดันตัวของแผ่นเปลือกโลกในบริเวณรอยเลื่อนและถูกแซะด้วย น้ำ ลม ฝน และหิมะ จนมีสภาพให้เห็นดังปัจจุบัน ความมหัศจรรย์ของป่าหินที่นี่คือ จะเปลี่ยนเป็นสีต่างๆตามสภาพอากาศ คือ เมื่ออากาศแห้งจะปรากฏเป็นสีเทาอ่อนและสีฟ้าอ่อน เมื่ออากาศชื้นจะมีลักษณะสีดำมืด การเปลี่ยนแปลงสี เป็นเพราะหินสีดำมีเกลือแคลเซียมและน้ำคริสตัลที่บรรจุอยู่ภายใน ซึ่งจะเปลี่ยนสีเมื่อได้รับผลกระทบจากความชื้นในอากาศ 

ถ่ากง (Tagong) (ถ่ากง ในภาษาทิเบต แปลความว่า สถานที่โปรดปรานของพระโพธิสัตว์) เป็นเมืองเล็กๆ ที่ตั้งท่ามกลางทุ่งหญ้ากว้างและภูเขาหิมะสูงรายล้อมโดยรอบในระดับความสูง 3,700 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ห่างจากเมืองคังติ้งขึ้นไปทางตะวันตกเฉียงเหนือราว 100 กิโลเมตร เมืองนี้มีชื่อเสียงในเรื่องของทัศนียภาพทางธรรมชาติแห่งทุ่งหญ้ากว้างและวัฒนธรรมพุทธทิเบตที่แข็งแกร่ง จนได้ชื่อเรียกขานว่าเป็น “ลาซาน้อย” 
กลางวันรับประทานอาหารกลางวัน
บ่ายนำท่านชม เจดีย์ทองคำมูหยา (Muya Golden Pagoda)  เจดีย์แห่งนี้สร้างขึ้นในปีค.ศ.1997 เพื่อรำลึกถึงปันเชนลามะองค์ที่ 10 ความโดดเด่นของเจดีย์องค์นี้คือ หลังคาทำจากทองคำกว่า 100 กิโลกรัม ซึ่งตั้งตระหง่านตรงกลางรายล้อมด้วยอาคารทั้ง 4 ด้าน โดยมีฉากหลังเป็นภูเขาหิมะยาลา (สูง 5,820 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสี่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของชาวทิเบตและถูกขนานนามว่า “ซัมบาลาแห่งที่สอง” รวมถึงชาวทิเบตเชื่อว่าภูเขาหิมะยาลานำมาซึ่งความโชคดี หากมองดูยอดภูเขาแห่งนี้ท่านจะเห็นรูปลักษณะของมันแตกต่างกันไปเมื่อท่านยืนมองในมุมทิศทางต่างๆ ซึ่งสวยงามตระการตา 

จากนั้นชม วัดถ่ากง (Tagong Monastery) วัดแห่งนี้มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวทิเบตในเขตมณฑลเสฉวนอย่างมาก เพราะเป็นสถานที่ประดิษฐานของรูปปั้นจำลองของพระศรีศากยมุนีตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง ตามตำนานเล่าว่าในช่วงปีค.ศ.641 ราชวงศ์ถังสมัยกษัตริย์ถังไท่จงได้ส่งตัวเจ้าหญิงเหวินเฉิงไปแต่งงานกับกษัตริย์ซองเซ็นกัมโปแห่งอาณาจักรทิเบต เจ้าหญิงจึงได้อัญเชิญองค์พระพุทธรูปติดตัวไปด้วย ในระหว่างการเดินทางจากฉางอันผ่านมาถึงเมืองถ่ากง ปรากฎว่าองค์พระพุทธรูปได้เปล่งพระวาจาออกมาต่อสาธารณชนว่าท่านประสงค์จะอยู่ที่นี่ ทำให้ไม่สามารถเคลื่อนย้ายองค์พระพุทธรูปได้ เจ้าหญิงจึงมีคำสั่งให้ประชาชนช่วยกันสร้างพระพุทธรูปองค์จำลองขึ้นมาแทนเพื่อประดิษฐานที่นี่ตามพระประสงค์ จึงทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่สำคัญสำหรับการแสวงบุญของชาวทิเบต เปรียบดั่งเป็น “วัดโจคังน้อย” 

ทุ่งหญ้าถ่ากง (Tagong Grassland) พื้นที่ทุ่งหญ้าโดยรอบครอบคลุมกว่า 712 ตารางกิโลเมตร ได้ชื่อว่าเป็นทุ่งหญ้าที่สวยที่สุดในเขตปกครองตนเองชนชาติทิเบตกานจือ โดยเฉพาะช่วงมิถุนายน-สิงหาคมของปี เพราะแสงแดดจะดีฟ้าสวยสด ทุ่งหญ้าเขียวชอุ่ม ฝูงสัตว์มากมายต่างออกมาเล็มหญ้าอย่างเพลิดเพลิน ที่นี่ยังเป็นสถานที่แข่งขันการขี่ม้าของชาวทิเบตในเทศกาลแข่งม้าประจำปี พร้อมประชันดนตรี การเต้นรำและการแต่งกายชุดประจำเผ่าอีกด้วย เชิญท่านสูดอากาศให้เต็มปอดและเก็บภาพถ่ายเป็นที่ระลึก
   
เดินทางจากเมืองถ่ากง-ซินตูเฉียว (40 KMS / 50 MIN) เมืองซินตูเฉียว (Xinduqiao) ตั้งอยู่ในระดับความสูง 3,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล มีสภาพภูมิ อากาศเขตที่ราบสูงจึงทำให้มีสภาพอากาศที่เปลี่ยน แปลงตลอดเวลาและอุณหภูมิปรับขึ้นลงตลอดทั้งวันตั้งแต่เช้ายันกลางคืน การเตรียมตัวจะต้องพร้อมทั้งเสื้อผ้าและรองเท้ารวมถึงอุปกรณ์กันหนาวกันลมทุกชนิด เมืองนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็น “สรวงสวรรค์ของนักถ่ายภาพ” เพราะมองไปทางไหนก็สวยงามเป็นธรรมชาติละลานตาไปหมด ทั้งทุ่งหญ้ากว้างเขียวขจี ลำธาร ฝูงสัตว์กระจัดกระจาย บ้านเรือนชาวทิเบต ต้นหยาง (Poplars) ภูเขาหิมะสูงแต่ไกล แสงธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบ นอกจากนี้นิตยสารเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิกแห่งประเทศจีนได้รับรองให้เมืองนี้เป็นสถานที่ดีที่สุดในการชมวิวภูเขาก้งกายามพระอาทิตย์ขึ้น 

เดินทางจากเมืองซินตูเฉียว-เมืองย่าเจียง (66 KMS / 1.30 HRS) เพื่อพักค้างแรมที่เมืองย่าเจียง
ค่ำรับประทานอาหารค่ำ 
ที่พัก Vienna Hotel 4*, Yajiang หรือเทียบเท่า
วันที่ 4ย่าเจียง-หลี่ถัง-เลตอง-ทุ่งหญ้าเหมายา-ภูเขาไห่จือ&ทะเลสาบพี่น้อง-บาตัง
เช้ารับประทานอาหารเช้าในโรงแรม

เดินทางจากเมืองย่าเจียง-เมืองหลี่ถัง (133 KMS / 2.30 HRS) เมืองหลี่ถัง เป็นเมืองประวัติศาสตร์และศูนย์กลางวัฒนธรรมทิเบตสำคัญของแคว้นคามทิเบต ตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาและทุ่งหญ้าสเตปป์ในระดับความสูง 4,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งอยู่สูงกว่าลาซา จึงถูกกล่าวขานว่าเป็น “เมืองลอยฟ้า” ที่สำคัญ เมืองนี้เป็นบ้านเกิดของบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ทิเบต คือ องค์ดาไลลามะที่ 7 และองค์ดาไลลามะที่ 10 

จากนั้นนำท่านเดินเล่นชมบรรยากาศโดยรอบๆ เมืองโบราณเลตอง (Letong Ancient Town) หรือ เมืองเก่าหลี่ถัง (Litang Old Town) เมืองที่มีความสูงที่สุดในโลก ภายในเมืองมีบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยศิลปะและวัฒนธรรมโบราณแบบทิเบต รวมถึงบ้านแบบทิเบตที่มีกระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณ แวะมาทำความรู้จักกับ ติงเจิน แห่งหลี่ถัง (Ding Zhen) หนุ่มน้อยชาวทิเบตที่ได้รับสมญานามว่าเป็น “รอยยิ้มแห่งทิเบต” ผู้โด่งดังบนโลกอินเตอร์เน็ตยุคใหม่ ผู้ที่เปลี่ยนบ้านเกิดของเขาที่หลี่ถัง เมืองที่เคยติดอันดับหนึ่งในเมืองที่ยากจนที่สุดในเขตจังหวัดกานจือ มณฑลเสฉวน ให้เป็นที่รู้จักและหลุดพ้นจากสภาพความยากจน 

จากนั้นนำท่านชม วัดหลี่ถัง (Litang Chöde Monastery) ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเมืองหลี่ถัง สร้างขึ้นในปีค.ศ.1580 เพื่อเป็นเกียรติแด่องค์ดาไลลามะที่ 3 (นามว่า โซนัม กยัตโส ค.ศ.1543-1588) วัดแห่งนี้เป็นวัดทิเบตนิกายเกลุคปา (หมวกเหลือง) ที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นคามทิเบต จึงเป็นวัดสำคัญของชาวพุทธทิเบตอย่างยิ่ง ราวปีค.ศ.1956 อาคารส่วนสำคัญของวัดได้ถูกทำลายลงเพราะเกิดเหตุการณ์ต่อต้านต่อการปฎิรูปของพรรคคอมมิวนิสต์ในแคว้นคาม ในเวลาต่อมาอาคารวัดหลายหลังได้รับการ บูรณะสร้างใหม่จนใหญ่โตงดงามดังปัจจุบัน ว่ากันว่าร่างขององค์ดาไลลามะที่ 7 ได้ถูกเก็บรักษาไว้ในวัดนี้ด้วย 
กลางวันรับประทานอาหารกลางวัน
บ่ายเดินทางจากหลี่ถัง-ทุ่งหญ้าเหมายา-ภูเขาไห่จือ & ทะเลสาบพี่น้อง-บาตัง (170 KMS/3.5 HRS)

ทุ่งหญ้าเหมายา (Maoya Prairie) มีพื้นที่กว้างประมาณ 3,750 ไร่ ตั้งอยู่ระหว่างเส้นทางจากเมือง หลี่ถังไปยังเมืองบาตัง เป็นทุ่งหญ้าที่ใหญ่ที่สุดบริเวณเทือกเขาชาหลู่หลี่ (Shaluli Mountains) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ตอนกลางของเทือกเขาเหิงต้วน (Hengduan Mountains) ที่นี่มีความสูงระหว่าง 4,100 เมตรถึง 4,500 เมตร ทุ่งหญ้ากว้างอันไร้ขอบเขตแห่งนี้เต็มไปด้วยฝูงสัตว์เล็มหญ้า กระโจมชนเผ่าเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ มองได้ไกลสุดสายตาเสมือนมหาสมุทรแห่งทุ่งหญ้า เหมายาถูกจัดให้เป็นทุ่งหญ้าที่สวยงามที่สุดติดอันดับ 1 ใน 6 ของจีน ได้รับการยกย่องจากนิตยสารเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิกแห่งประเทศจีนในปีค.ศ. 2005ภูเขาไห่จือและทะเลสาบพี่น้อง (Haizi Mountains & Sister lake) คำว่า “ไห่จือ” แปลว่า “ทะเลสาบ” ว่ากันว่าภูเขาไห่จือมีทะเลสาบน้อยใหญ่กว่า 1,145 แห่งทั่วบริเวณ

นำท่านนั่งรถต่อ ไปบนเส้นทางหลวง G318 บริเวณทางผ่านภูเขาไห่จือ (Haizi Mountain Pass) มีความยาวกว่า 53 กิโลเมตร แนวพาดผ่านจากทางทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก บริเวณจุดสูงสุดของไห่จือ พาสมีความสูงกว่า 4,689 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ท่านสามารถชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของทะเลสาบพี่น้องในบริเวณตีนภูเขาไห่จือได้อย่างเต็มตา 
 
จากนั้นเดินทางสู่ เมืองบาตัง (Batang) เป็นเมืองหน้าด่านสำคัญสุดท้ายของมณฑลเสฉวนก่อนเข้าสู่เขตปกครองตนเองทิเบตและเป็นชุมทางสำคัญที่เชื่อมต่อ 3 มณฑล คือ มณฑลเสฉวน เขตปกครองตนเองทิเบต และมณฑลยูนนานซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของเมือง ตั้งอยู่บนที่ราบสูงในระดับความสูง 2,580 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และมีแม่น้ำจินชา (Jinsha River ชื่อเรียกส่วนตอนบนของแม่น้ำแยงซีเกียง) สายสำคัญไหลลัดเลาะผ่าน อีกทั้งบาตังยังเป็นเมืองเก่าแก่บนอดีตเส้นทางการค้โบราณขึ้นชื่อเรื่องการค้าขายใบชาและม้าเฉกเช่นเดียวกันกับเมืองคังติ้ง  
ค่ำรับประทานอาหารค่ำ
ที่พัก Holiday Inn Hotel 4*, Batang หรือเทียบเท่า
วันที่ 5บาตัง - สะพานข้ามแม่น้ำจินชา - เมืองมาร์คาม (ทิเบต) - เมืองจั่วกง  
เช้ารับประทานอาหารเช้าในโรงแรม

เดินทางจากเมืองบาตัง-เมืองมาร์คาม-เมืองจั่วกง (260 KMS / 6 HRS) รถแล่นออกจากเมืองบาตังไปบนเส้นทางหลวง G318 ราว 32 กิโลเมตร ท่านจะพบกับ สะพานข้ามแม่น้ำจินชา (Jinshajiang Bridge) ใช้ข้ามเข้าสู่เขตปกครองตนเองทิเบตอย่างเป็นทางการ จุดนี้จะมีการเปลี่ยนรถยนต์และไกด์ท้องถิ่นเป็นของทิเบต และท่านจะต้องเดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำจินชา โดยมีความยาวประมาณ 280 เมตร (ไม่ต้องขนสัมภาระกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เอง) และจะมีจุดตรวจสอบใบอนุญาตท่องเที่ยวทิเบต (Tibet Travel Permit) จากนั้นรถจะแล่นลัดเลาะไปตามแม่น้ำจินชาและผ่านหุบเขาโตรกเขาสูงใหญ่ไปเรื่อยจนกระทั่งถึง เมืองมาร์คาม (Markham) ตั้งอยู่ในระดับความสูง 3,875 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ได้ชื่อว่าเป็นประตูทิศตะวันออกสู่ทิเบต มาร์คามในอดีตถือเป็นเมืองสำคัญบนเส้นทางการค้าเกลือขายชาระหว่างทิเบตกับเสฉวน มีการทำนาเกลือบริเวณริมแม่น้ำโขงในแถบยานจิง (Yanjing) ความพิเศษของเส้นทางหลวงตั้งแต่เมืองมาร์คามจนถึงเมืองจั่วกงจะมีเส้นทางหลวง 2 เส้นทับซ้อนกัน คือ G214 และ G318 
กลางวันรับประทานอาหารกลางวัน ระหว่างทาง
บ่ายเขตปกครองตนเองทิเบต (Tibet Autonomous Region - TAR) มีแม่น้ำไหลผ่านถึง 3 สายด้วยกัน ได้แก่ แม่น้ำจินชา (Jinsha river) แม่น้ำหลานชาง (Lancang river คนไทยรู้จักกันในนามแม่น้ำโขง) และแม่น้ำนู (Nu river) ที่ไหลขนาบกัน โดยมีต้นกำเนิดแม่น้ำเดียวกันอยู่ในเทือกเขาถังกูล่าบนเขตที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบต ดังนั้นการเดินทางในวันนี้มุ่งหน้ายาวไปทางทิศตะวันตก ท่านสามารถชื่นชมธรรมชาติสองข้างทางที่เปลี่ยนสลับไปมาเพราะรถวิ่งผ่านภูเขาสูงบริเวณภูเขาลาหวู (Lawu mountain - 4,358m) และภูเขาตงตา (Dongda Mountain - 5,230m) ตามลำดับ รถจะแล่นซิกแซก ผ่านภูเขาตงตา ซึ่งมีตงตาพาส (Dongda Pass) อันเป็นทางผ่านเขาที่สูงที่สุดเป็นอันดับ 2 ของเส้น ทางหลวง G318 ซึ่งบริเวณนี้รู้จักกันดีในชื่อ “เขตหวงห้ามของชีวิต” โดยมีแม่น้ำหลานชางไหลคืบผ่านตลอดแนวภูเขาด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งของภูเขาตงตาเป็นที่ตั้งเขต เมืองจั่วกง (Zuogong or Zogang) ที่ตั้งอยู่ในระดับความสูง 3,900 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล คณะจะพักค้างคืนในเมืองนี้  
ค่ำรับประทานอาหารค่ำ
ที่พักSheng Fang Hotel 4*, Zogang หรือเทียบเท่า
วันที่ 6จั่วกง - ภูเขาเยอลา - นูเจียง 72 โค้ง - ธารน้ำแข็งไหลกู - ทะเลสาบรันวู
เช้ารับประทานอาหารเช้าในโรงแรม

เดินทางจากเมืองจั่วกง-ภูเขาเยอลา-นูเจียง 72 โค้ง-ทะเลสาบรันวู (300 KMS / 7 HRS) การเดินทางในวันนี้ ถือเป็นจุดไฮไลท์ของเส้นทางหลวงเสฉวน-ทิเบตไฮเวย์สายใต้ (G318) ออกเดิน ทางจากเมืองจั่วกง ระหว่างทางรถจะแล่นผ่านบริเวณเขต ทุ่งหญ้าบังตา (Bangda Grassland) ซึ่งเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของทิเบต ภาพธรรมชาติที่นี่มีเสน่ห์ชวนหลงใหลประกอบไปด้วยสายน้ำโค้งตวัด มีภูเขาขนาบน้อยใหญ่ท่ามกลางทุ่งหญ้ากว้างไกลสุดตา แต่งแต้มสีสันด้วยฝูงยัคตัวดำและม้าเล็มหญ้าอย่างมีความสุข 

จากนั้นรถจะแล่นต่อไปยัง ภูเขาเยอลา (Yela Mountains - 4,839m) เป็นด่านปราการธรรมชาติที่ลาดชันอันตรายที่สุดในเขตเทือกเขาเหิงต้วน (Hengduan Mountain Range) บริเวณจุดชมวิวของเยอลาพาส (Yela Pass - 4,658m) ท่านสามารถชมวิวทิวทัศน์ของถนนที่ตัดลัดเลาะไหล่เขาโค้งตวัดไปมาไล่ไต่ระดับเรื่อยลงมาจนถึงริมฝั่งแม่น้ำนู (คนไทยรู้จักกันในชื่อสาละวิน) ถนนมหัศจรรย์สายนี้มีชื่อเสียงอย่างมากด้านภูมิทัศน์ที่สวยงามน่าทึ่งและแสนหฤโหดในนาม “ถนน 72 โค้งแห่งนูเจียง” ได้ชื่อว่าเป็นถนนอันตรายน่าหวาดเสียวที่สุดสายหนึ่งของโลก เพราะถนนถูกตัดไต่ความสูงลงมาจาก 4,658 เมตรกระทั่งถึง 2,740 เมตร บริเวณก้นหุบเขาริมฝั่งแม่น้ำนู โดยมีระยะทางลาดชันยาวกว่า 40 กิโลเมตร แล้วเดินทางต่อมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก ท่านจะได้ตื่นตาพบกับภาพธรรมชาติที่อลังการไปด้วยคลื่นภูเขาสูงที่มีหิมะปกคลุมยอดอยู่ซึ่งงดงามพรั่งพร้อมผืนป่าและหมู่บ้านตามชนบทที่สุขสงบ
กลางวันรับประทานอาหารกลางวัน ระหว่างทาง
บ่ายจากนั้นนำท่านชม ธารน้ำแข็งไหลกู (Laigu Glacier) ที่เป็นหนึ่งในสามของธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำปาลุงซางโป ชื่อของธารน้ำแข็งมาจากชื่อหมู่บ้านไหลกูที่ตั้งอยู่ใกล้กับธารน้ำแข็งอันเกิดจากการรวมตัว 6 ธารน้ำแข็งเรียงรายประกอบกัน จากบริเวณยอดหลักๆของธารน้ำแข็งไหลกูมีความสูงมากกว่า 6,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลไล่ลงมาบริเวณขอบหมู่บ้านในระดับความสูงราว 4,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล คำว่า “ไหลกู” มีความหมายว่า “แดนสุขาวดีที่ซ่อนเร้น” บ่งบอกให้เห็นได้ว่าธรรมชาติแถบนี้สวยงามและสุขสงบเปรียบเป็นดั่งดินแดนสวรรค์ การเดินทางไปชม ต้องมีการเปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้าและต่อด้วยรถโฟร์วีลของอุทยานฯ เป็นระยะทางราว 24 กิโลเมตร และเมื่อถึงบริเวณเชิงเขา ต้องเดินหรือขี่ม้าเข้าไปยังธารน้ำแข็ง อีกประมาณ 3.5 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ (ไม่รวมค่าขี้ม้า ไป-กลับ คนละ 300 หยวน) 

แล้วเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทางของวันนี้ ทะเลสาบรันวู (Ranwu Lake) เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดของเขตทิเบตตะวันออก แบ่งออก เป็น 3 ตอน คือ ตอนบน ตอนกลาง ตอนล่าง ที่เชื่อมต่อกันด้วยลำธารน้ำ ที่ตั้งอยู่บนระดับความสูง 3,850 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล มีภูเขาหิมะปกคลุมยอดโอบล้อม บริเวณทิศเหนือของทะเล สาบมีธารน้ำแข็งใหญ่ชื่อ “ไหลกู”(Laigu Glacier) ซึ่งหิมะจะละลายไหลลงสู่ทะเลสาบเติมเต็มน้ำอยู่ตลอดเวลา สีของน้ำก็สวยใสดั่งกระจกและเปลี่ยนสีไปมาตามฤดูกาลกับแสงตกกระทบไล่เฉดสีตั้งแต่น้ำเงินครามจนถึงสีเขียวเทอร์คอยส์ อีกทั้งน้ำในทะเลสาบยังไหลออกสู่แม่น้ำปาลุงซางโป ซึ่งเป็นแม่ น้ำสาขาหนึ่งของแม่น้ำยาร์ลุงซางโป ภาพบรรยากาศดินแดนในฝันเช่นนี้พร้อมเปิดกว้างต้อนรับการมาเยือนของท่าน ค่ำคืนนี้ พิเศษสุด นอนพักโรงแรมติดกับทะเลสาบรันวู 
ค่ำรับประทานอาหารค่ำ 
ที่พักRanwu Inrernational Self-Driving Camp 5*, Ranwu หรือเทียบเท่า
วันที่ 7ทะเลสาบรันวู-โบมี-ปราสาทกาหลาง-เขตป่าลู่หลาง-เมืองหลินจือ
เช้ารับประทานอาหารเช้าในโรงแรม

เดินทางจากทะเลสาบรันวู-เมืองโบมี (136 KMS / 2.5 HRS)การเดินทางของวันนี้คณะจะมุ่งหน้าไปชมความยิ่งใหญ่อลังการของธารน้ำแข็งอันธรรมชาติเป็นผู้จัดสรรไว้อย่างสวยงาม 
 
เดินทางผ่านเข้าเขต เมืองโบมี (Bome) เป็นแหล่งปลูกข้าวและผลิตธัญพืชที่สำคัญแห่งหนึ่งของทิเบต และเป็นพื้นที่แหล่งปลูกชาที่สูงที่สุดในประเทศจีน อีกทั้งยังเป็นแหล่งผลิตเห็ดมัตสึทาเกะและเห็ดมอร์เรลที่สำคัญเพื่อการส่งออก เมืองนี้ตั้งอยู่ในระดับความสูง 2,720 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล มีธารน้ำแข็งจำนวนมากที่น่าตื่น เต้นตื่นตาเป็นอาณาเขต ราวเดือนมีนาคมของทุกปีจะมีดอกท้อสีชมพูบานสะพรั่งทั่วทั้งหุบเขาชวนหลงใหลที่ทำให้นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาเยือนอย่างไม่ขาดสาย 

ปราสาทโบราณกาหลาง (Galang Palace Ruins) ตั้งอยู่ในเขตเมืองโบมี ปราสาทหลังนี้สร้างขึ้นบนภูเขาที่มีป่าไม้และทะเลสาบกาหลางเป็นพื้นที่องค์ประกอบโดยรอบ ถือเป็นชัยภูมิที่ดี ตามตำนานเล่าว่าเมื่อหลายร้อยปีก่อนราชวงศ์กาหลางซึ่งเป็นราชวงศ์หนึ่งของอาณาจักรทิเบตได้ถูกทำลายลง บรรดาสมาชิกราชวงศ์จึงได้หลบหนีไปและทอดทิ้งปราสาทไว้จนกระทั่งปัจจุบัน บริเวณนี้ถือเป็นจุดชมวิวและถ่ายภาพที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของบรรดานักท่องเที่ยว
กลางวันรับประทานอาหารกลางวัน ระหว่างทาง
บ่ายเดินทางต่อไปบนเส้นทางหลวง G318 สู่เขตป่าลู่หลาง รถจะแล่นผ่านสะพานข้ามแม่น้ำที่สร้างอันใหม่ล่าสุดชื่อ สะพานตงใหม่ (Tongmai Bridge) ซึ่งมีสะพานอยู่ถึง 3 รุ่นเรียงขนานกัน ในอดีตการเดินทางผ่านบริเวณนี้ถือว่าค่อนข้างอันตรายมาก ว่ากันว่าการก่อสร้างตัดถนนผ่านก็ค่อนข้างลำบากเพราะธรณีภูเขาแถบนี้อ่อนตัวยากต่อการก่อสร้าง

เขตป่าลู่หลาง (Lulang Forest) ด้วยความสูงราว 3,700 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เขตผืนป่าแห่งนี้มีความอุดมสมบูรณ์ เป็นทุ่งหญ้าที่ราบสูงภูเขา มีขนาดกว้าง 1 กิโลเมตรและยาว 15 กิโลเมตร ซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัว ได้ชื่อว่าเป็นแดนสวรรค์บนดิน เหตุเพราะทัศนียภาพของธรรมชาติที่ปรากฎสวยงามยิ่งและแตกต่างกันไปตามฤดูกาลอย่างน่าตื่นเต้น มีสีสันแห่งธรรม ชาติสุดตระการตา ที่นี่คือจุดชมวิวของยอดเขานัมจักบาร์วาที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง (Namjagbarwa Peak) เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดกว่า 7,782 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลในเขตหลินจือ 

ภูเขานัมจักบาร์วา (Namjagbharwa Mountain) ภูเขาแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาหิมาลัยฝั่งทิเบต ตั้งอยู่เหนือโค้งใหญ่ของแม่น้ำ ยาร์ลุงซังโป ระหว่างเดินทางอยู่ในเขตหลินจือ เราจะได้เห็นยอดเขาสูง 7,782 เมตรที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะตลอดปีนี้จากจุดชมวิวได้หลายแห่ง

เดินทางต่อเข้าสู่ เมืองหลินจือ หรือ เมืองหญิงฉือ (Linzhi or Nyingchi) ดินแดนที่ได้รับการกล่าวขานนามว่าเป็น “บัลลังก์แห่งดวงอาทิตย์” (Throne of the sun) เพราะเป็นเมืองที่ชมพระอาทิตย์ขึ้นได้แจ่มชัดสวยที่สุดในทิเบต และเป็นที่รู้จักกันดีของนักท่องเที่ยวชาวจีนในฐานะ "สวิตเซอร์แลนด์แดนตะวันออก" (Eastern Switzerland) ด้วยมีความสูงโดยเฉลี่ย 3,100 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล โดยมีพื้นที่ต่ำสุดที่ 900 เมตร และสูงสูด 7,782 เมตร จัดได้ว่าเขตหลินจือมีความห่างของช่วงระดับความสูงที่ห่างมากที่สุดของโลก หลินจือเป็นเมืองที่อยู่เหนือระดับน้ำทะเลต่ำที่สุดของเขตปกครองตนเองทิเบต ด้วยทำเลที่ตั้งของหลินจือจึงมีอากาศอบอุ่นและชุ่มชื้นกว่าทางทิเบตโซนอื่นๆ สภาพภูมิอากาศที่แตกต่างทำให้เมืองหลินจือมีทิวทัศน์ธรรมชาติที่หลากหลาย ช่วงฤดูใบไม้ผลิสามารถ ชมดอกท้อ ฤดูร้อนมาชมป่าไม้สีเขียวกว้างใหญ่ไพศาล ฤดูใบไม้ร่วงมาชมใบไม้เปลี่ยนสี พอเข้าถึงฤดูหนาว เมืองหลินจือจะมีท้องฟ้าสีครามสดใสตัดกับภูเขาหิมะขาวโพลน และแสงแดดที่อบอุ่นตลอดทั้งปี จึงดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวจีนหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย 
ค่ำรับประทานอาหารค่ำ
ที่พักHoliday Inn Express Linzhi Airport Hotel 4*, Nyingchi หรือเทียบเท่า
วันที่ 8เมืองหลินจือ - ทะเลสาบพักซัม - ลาซา
เช้ารับประทานอาหารเช้าในโรงแรม

ออกเดินทางจากเมืองหลินจือไปยัง ทะเลสาบพักซัม (Pagsum Lake) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับ 5A ของเขตปกครองตนเองทิเบต ตั้งอยู่บนระดับความสูงราว 3,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เมื่อไปถึงแล้วก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตาตื่นใจกับวิวภูเขาหิมะและป่าสนโดย รอบตัดกับน้ำในทะเลสาบสีเขียวมรกตที่ใสจนมองเห็นฝูงปลา ใครได้มาสูดอากาศบริสุทธิ์ที่นี่แล้ว
เป็นต้องตกหลุมรักเข้าเต็มๆ หากมองจากท้องฟ้าลงมาจะเห็นรูปลักษณะของทะเลสาบเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว ที่สำคัญที่นี่ยังเป็นทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ ตรงกลางทะเลสาบมีเกาะเล็กที่มีวัดของศาสนาพุทธแบบทิเบต นิกายนิงมาปะ (หมวกแดง) อันเก่าแก่และบริเวณหลังวัดมีต้นโอ๊คเก่าแก่ มีอายุกว่า1,300 ปี 

เดินทางจากทะเลสาบพักซัม-ลาซา (หลังคาโลก) (370 KMS / 5 HRS) การเดินทางในวันนี้ ท่านจะได้เดินทางบนเส้นทางหลวงสายลาซา-หลินจือ หรือเรียกกันว่า “ลาหลินไฮเวย์” มีความยาวราว 409 กิโลเมตร ซึ่งเชื่อมระหว่างนครลาซา เมืองเอกของเขตปกครองตนเองทิเบต และเมืองหลินจือ ซึ่งเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปีค.ศ. 2019 ที่ช่วยย่นระยะเวลาการเดินทางให้สั้นลงจากเดิม 8-10 ชั่วโมงเหลือเพียง 4-5 ชั่วโมง และช่วยส่งเสริมพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในท้องถิ่นและเอื้อประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้สะดวกมากยิ่งขึ้นอีกด้วย ที่สำคัญคือ ถนนสายนี้ตัดผ่านพื้นที่ธรรมชาติทั้งทางน้ำและภูเขาอย่างไม่ทำลายระบบนิเวศทางธรรมชาติอีกด้วย
กลางวันรับประทานอาหารกลางวัน ระหว่างทาง  
บ่ายเดินทางถึง เมืองลาซา (Lhasa) ลาซา แปลว่า "สถานที่แห่งทวยเทพ" ในภาษาทิเบต เป็นเมืองหลวงของเขตปกครองตนเองทิเบตทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับสองบนที่ราบสูงทิเบต รองจากซีหนิง และเป็นหนึ่งในเมืองที่สูงที่สุดในโลกที่ระดับความสูง 3,656 เมตร เมืองนี้เป็นศูนย์กลางทางศาสนาและการปกครองของทิเบต มาตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 จึงเป็นที่ตั้งของสถานที่ที่มีความสำคัญทั้งทางพุทธศาสนาแบบทิเบตและทางวัฒนธรรมหลายแห่ง เช่น พระราชวังโปตาลา วัดโจคัง และพระราชวังนอร์บุลิงกา เป็นต้น
ค่ำรับประทานอาหารค่ำ 
ที่พักIntercontinental Lhasa Paradise Hotel 5*, Lhasa หรือเทียบเท่า
วันที่ 9พระราชวังโปตาลา – พระตำหนักนอร์บุหลิงฆา - วัดโจคัง - ตลาดบาร์ฆอร์
เช้ารับประทานอาหารเช้าในโรงแรม

นำท่านชม พระราชวังโปตาลา (Potala Palace) ตั้งอยู่บนยอดเขาแดง (เดินขึ้นประมาณ 25-30 นาที) ซึ่งมีความสูงราว 117 เมตร พระราชวังโปตาลาเป็นอาคารสูง 13 ชั้น ยาว 400 เมตร กว้าง 350 เมตร มีห้องหับต่างๆ เกือบ 1,000 ห้อง เริ่มสร้างเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 7 โดยกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้รวบรวมทิเบตให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้สำเร็จ คือ กษัตริย์ซองเซิน กัมโป (Songtsen Gampo) แรกเริ่มต้องการเพียงจะสร้างเป็นตำหนักให้แก่มเหสีชาวจีน และชาวเนปาลของพระองค์เอง ต่อมาได้ใช้ป้อมแห่งนี้เป็นสถานที่ในการศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า จวบจนกระทั่งสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นลามะ เป็นผู้ปกครองประเทศ ปัจจุบันส่วนก่อสร้างเดิม 2 หลังนี้ยังคงเหลือให้เห็นอยู่ท่าม กลางสิ่งก่อสร้างใหม่ต่อเติมในยุคหลัง  อาคารที่ต่อเติมในช่วงหลังนี้ส่วนหลักๆ สร้างในสมัยของดาไลลามะที่ 5 ประมาณปีค.ศ. 1645-1693 (องค์ดาไลลามะองค์ปัจจุบันคือ องค์ที่ 14 ซึ่งลี้ภัยไปอยู่ที่ธรรมศาลาในประเทศอินเดีย) เพื่อให้เป็นพระราชวังฤดูหนาว พระราชวังโปตาลา แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนของพระราชวังสีขาว สีแดง และส่วนเชื่อมที่เป็นสีเหลือง โดยใช้พระราชวังสีขาวเป็นส่วนของสังฆาวาส พระราชวังสีแดงเป็นส่วนพุทธาวาสสำหรับใช้ทำกิจของสงฆ์และบรรจุพระศพขององค์ดาไลลามะ (องค์ที่ 5, 7, 8, 9, 10, 11, 12 และ 13) และห้องสมุดที่ใช้สำหรับเก็บพระไตรปิฎก
กลางวันรับประทานอาหารกลางวัน 
บ่ายนำท่านชม ตำหนักนอร์บุหลิงฆา (Norbulinga Palace) อันเป็นพระราชวังฤดูร้อนขององค์ดาไลลามะ คู่กันกับพระราชวังฤดูหนาวโปตาลา  ความหมายเดิมของชื่อ นอร์บุหลิงฆา แปลว่า “สวนอัญมณี” สร้างขึ้นในช่วงหลังคริสต์ศตวรรษที่ 18 โดยดาไลลามะที่ 7 สมัยต่อๆมาดาไลลามะองค์อื่นๆ ได้สร้างต่อเติมส่วนของตนเองขึ้นมาเรื่อยๆ แม้แต่ดาไลลามะองค์ที่ 14 ก็ยังได้ต่อเติมพระราชวังของตนเองก่อนที่จะเสด็จหนีลี้ภัยออกจากทิเบต พระราชวังแห่งนี้เป็นทั้งศูนย์กลางของการบริหารกิจการบ้านเมืองและกิจการด้านการศาสนา อาณาเขตพื้นที่ของพระราชวังมีขนาดใหญ่กว่า 225 ไร่ ภายในมีพระตำหนักขององค์ดาไลลามะองค์ต่างๆ โดยเฉพาะที่สำคัญ คือ พระตำหนักขององค์ดาไลลามะที่ 13 และ 14 เป็นพระราชวังที่สวยงาม ร่มรื่น ภายในมีสวนดอกไม้ ต้นไม้ รวมทั้งสวนสัตว์ จึงจัดได้ว่าเป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่สุดในทิเบต ในช่วงเทศกาลโชตุล (Sho Dun Festival) หรือเทศกาลโยเกิร์ต เป็นเทศกาลประจำปีที่สำคัญ ซึ่งจะจัดขึ้นที่นี่ ชาวทิเบตจะมาปิคนิก มาชมการแสดงโอเปร่าทิเบต การร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนาน

จากนั้นนำชม วัดโจคัง (Jokhang Temple) ภาษาจีนเรียก วัดต้าเจ้าซื่อ เป็นวัดที่ถือว่าเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวทิเบตทั้งมวล เพราะเมื่อมีพิธีถือศีลกัน พระลามะจำนวนมากก็จะเดินทางมารวมกันทำพิธีที่นี่ สร้างในสมัยของกษัตริย์ซองเซิน กัมโป (ปีค.ศ.620-649 ผู้ที่รวมอาณาจักรทิเบตให้เป็นปึกแผ่น) เพื่อเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปที่มเหสีชาวต่างชาติสององค์ของพระองค์คือ เจ้าหญิงเหวินเฉิงแห่งจีน และเจ้าหญิงภริคุติแห่งเนปาลนำเข้ามายังทิเบต  ศิลปะการก่อสร้างมีจุดเด่นตรงที่นำเอาศิลปะของ 4 ชาติมาผสมกันคือ ทิเบต จีน เนปาลและแคชเมียร์ มีตำนานเล่ากันว่า ก่อนที่กษัตริย์ซองเซินกัมโปจะสร้างวัดต้าเจาซื่อ (วัดโจคัง) ได้อธิษฐานว่าพระองค์จะโยนแหวนขึ้นไปบนอากาศ หากแหวนนั้นตกลงที่ใดก็จะสร้างวัดลงตรงนั้นปรากฎว่าแหวนลอยลงไปตกในสระน้ำกระทบกับหินที่โผล่ขึ้นมา ทันใดนั้นมีภาพนิมิตของสถูปก็ปรากฏให้แก่คนทั่วไปได้เห็น จึงนับว่าเป็นนิมิตที่ดี กษัตริย์ซองเซิน กัมโป จึงสั่งให้สร้างวัดลงตรงบริเวณนั้นเอง ภายในวัดนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่พระนางเหวินเฉิงนำมาจากประเทศจีนเมื่อ1,300 ปีก่อน ซึ่งได้รับการกราบไหว้และยอมรับกันอย่างมากว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุด แม้แต่พวกขบวนการเรดการ์ดหรือกองทัพแดงที่ทำลายทุกอย่างตอนที่มีการปฏิวัติวัฒนธรรมจีนในประเทศจีนยังไม่กล้าแตะต้องพระพุทธรูปองค์นี้เลย บริเวณหน้าวัดท่านจะเห็นชาวทิเบตจำนวนมากนอนกราบแบบอัษฎางคประดิษฐ์  ชาวทิเบตที่เดินเข้าแถวเพื่อเข้าไปด้านใน บ้างถือกระติกน้ำมันเนย บ้างถือถุงเนยแข็ง เพื่อไปเติมตะเกียงบูชาพระ  

จากนั้นนำท่านออกมาเดินชมวิถีชีวิตความเป็น อยู่ของชาวทิเบตที่ ถนนบาร์ฆอร์ (Barkhor) หรือถนนแปดเหลี่ยมที่ล้อมรอบวัดโจคัง ถนนแห่งนี้ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองเก่าลาซา เป็นถนนที่เก่าแก่ที่สุดในเมือง สร้างพร้อมกับวัดโจคัง อิสระให้ท่านได้ช้อปปิ้งซื้อสินค้าพื้นเมืองที่หลากหลาย
ค่ำรับประทานอาหารค่ำ
ที่พัก Intercontinental Lhasa Paradise Hotel 5*, Lhasa หรือเทียบเท่า
วันที่ 10ลาซา - เฉิงตู - กรุงเทพฯ
เช้ารับประทานอาหารเช้าในโรงแรม

เดินทางไปยัง สนามบินลาซา กงก้า (Lhasa Gonggar Airport) เพื่อเตรียมตัวสำหรับเที่ยวบินภายในประเทศ
11.20 น.เหินฟ้าสู่ เมืองเฉิงตู  โดยสายการบินเสฉวนแอร์ไลน์ (Sichuan Airlines) เที่ยวบินที่ 3U6632 (ใช้เวลาบิน 2 ชั่วโมง) 
13.20 น.เดินทางถึง สนามบินเฉิงตูซวงหลิว และเตรียมตัวเพื่อต่อเครื่องสำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ
16.15 น.เหินฟ้าสู่ กรุงเทพฯ โดยสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG 619 (16.15-18.20) (ใช้เวลาบิน 3 ชั่วโมง 5 นาที) (มีบริการอาหารบนเครื่อง)
18.20 น.เดินทางถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ
หมายเหตุในระหว่างการเดินทาง อาจมีปัญหาเฉพาะหน้าเกิดขึ้น ดังนั้นโปรแกรมทัวร์อาจมีปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม  บริษัทจะยึดผลประโยชน์และความปลอดภัยของส่วนรวมในคณะเป็นหลักในการตัดสินใจ



เงื่อนไขในการจอง

อัตราค่าบริการรวม
  • ค่าโรงแรมที่พักระดับ 4-5 ดาว ห้องละ 2 ท่าน 
  • ค่าตั๋วเครื่องบินระหว่างประเทศและภายในประเทศชั้นประหยัด พร้อมน้ำหนักกระเป๋า 1 ชิ้นไม่เกิน 20 กิโลกรัม รวม 3 เที่ยวบินตลอดเส้นทาง
  • ค่าอาหารตามที่ระบุไว้ในโปรแกรม
  • ค่าพาหนะตลอดการเดินทาง 
  • ค่าเข้าชมสถานที่ตามที่ระบุไว้ในโปรแกรม
  • ค่ามัคคุเทศก์ท้องถิ่น (พูดภาษาอังกฤษ) 
  • ค่าหัวหน้าทัวร์คนไทยอำนวยความสะดวกตลอดการเดินทาง 
  • ค่าประกันอุบัติเหตุการเดินทางในวงเงิน 1 ล้านบาท ตามเงื่อนไขกรมธรรม์
  • ค่าทิปไกด์ท้องถิ่นและคนขับรถ 
อัตราดังกล่าวไม่รวม
  • ค่าทิปหัวหน้าทัวร์คนไทย 
  • ค่าธรรมเนียมในการทำหนังสือเดินทาง หรือค่าแจ้งเข้าออก กรณีคนต่างด้าว
  • ค่าใช้จ่ายส่วนตัว เช่น ค่าเครื่องดื่ม ค่าอาหารนอกรายการ ค่าซักรีด ค่าโทรศัพท์ ฯลฯ
  • ค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% และค่าภาษีหัก ณ ที่จ่าย 3%
การจองและการชำระเงิน
  • บริษัทฯเรียกเก็บเงินมัดจำ ท่านละ 50,000 บาท (ห้าหมื่นบาท) พร้อมกรอกรายละเอียดในใบแบบฟอร์มการจองทัวร์ และส่งสำเนาหน้าพาสปอร์ตของท่าน และชำระเงินมัดจำภายใน 3 วัน 
  • บริษัทฯเรียกเก็บเงินค่าทัวร์ส่วนที่เหลือ ชำระทั้งหมดก่อนเดินทาง 30 วัน
  • กรณีท่านได้รับส่วนลดพิเศษตามโปรโมชั่น หรือกรณีหักค่าวีซ่า (ถ้ามี) ค่าส่วนลดดังกล่าวจะถูกหักออกจากค่าทัวร์ส่วนที่เหลือในงวดสุดท้าย
การยกเลิกการเดินทาง
  • ยกเลิกก่อนการเดินทาง 60 วัน คืนค่าใช้จ่ายทั้งหมด (ยกเว้น กรุ๊ปที่เดินทางช่วงวันหยุดหรือเทศกาลที่ต้อง มัดจำกับทางสายการบินหรือมีการมัดจำค่าที่พัก ทั้งโดยทางตรง หรือ โดยการผ่านตัวแทนในประเทศ หรือต่างประเทศและไม่อาจขอเรียกคืนเงินได้ หรือกรณีออกตั๋วเดี่ยว)
  • ยกเลิกก่อนการเดินทาง 45-59 วัน คืนเงินมัดจำบางส่วน แต่หักค่าใช้จ่ายอื่นๆที่เกิดขึ้นตามจริง (ถ้ามี)  
  • ยกเลิกก่อนการเดินทาง 30-44 วัน เก็บค่าใช้จ่ายท่านละ 50,000 บาท
  • ยกเลิกก่อนการเดินทาง 1-29 วัน  เก็บค่าใช้จ่ายค่าทัวร์เต็มจำนวนทั้งหมด 100%

    ** กรณีคณะส่วนตัวหรือกรุ๊ปเหมา หลังจากยืนยันการจองและชำระเงินค่ามัดจำแล้ว หากยกเลิกทัวร์ บริษัทฯขอสงวนสิทธิ์ไม่คืนเงินมัดจำในทุกกรณี 
    ** บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการไม่คืนค่ามัดจำตั๋วเครื่องบิน และค่าใช้จ่ายอื่นๆ หากทางบริษัทได้ดำเนินการไปแล้ว 
    ** เมื่อท่านได้ตกลงจองทัวร์กับบริษัทแล้ว ถือว่าท่านได้ตกลงยอมรับในเงื่อนไขต่างๆดังกล่าวข้างต้นแล้วทุกประการ 
เงื่อนไขการให้บริการ
  • เมื่อได้รับการยืนยันว่ากรุ๊ปออกเดินทางได้ ผู้เดินทางต้องจัดเตรียมเอกสารจำเป็นต่างๆสำหรับการยื่นขอวีซ่าให้พร้อมโดยเร็ว
  • การยื่นขอวีซ่าของแต่ละประเทศหรือแต่ละสถานทูต จะมีการเตรียมเอกสารและมีขั้นตอนการยื่นขอวีซ่าที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจเป็นการยื่นขอวีซ่าแบบหมู่คณะ หรือแบบรายบุคคล (แสดงตนที่สถานทูต) หรือแบบวีซ่าออนไลน์ แล้วแต่กรณี ท่านสามารถสอบถามข้อมูลกับทางบริษัทตามช่องทางการขายต่างๆเพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนการจองทัวร์
  • กรณีผู้เดินทางต้องการผู้ดูแลพิเศษ อาทิเช่น นั่งรถเข็น (wheelchair) เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ มีโรคประจำตัว หรือไม่สะดวกในการนั่งรถเดินทางท่องเที่ยวเป็นเวลาเกินกว่า 4-5 ชั่วโมงติดกัน ผู้เดินทางจำต้องหาผู้ดูแลส่วนตัวร่วมเดินทางไปด้วย เนื่องจากการเดินทางเป็นหมู่คณะ หัวหน้าทัวร์และไกด์ท้องถิ่นมีความจำเป็นต้องดูแลคณะทัวร์ทั้งหมดเป็นหลัก
  • กรณีผู้เดินทางมีอายุไม่ถึง18 ปี และไม่ได้เดินทางกับบิดามารดา ต้องมีจดหมายยินยอมให้บุตรเดินทางไปต่างประเทศจากบิดาหรือมารดาแนบมาด้วย
ข้อมูลเบื้องต้นเรื่องตั๋วเครื่องบินและที่นั่งบนเครื่องบิน
  • เมื่อบริษัทฯได้ทำการสำรองที่นั่งพร้อมชำระเงินมัดจำค่าตั๋วเครื่องบินแล้ว หากท่านยกเลิกทัวร์ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม บริษัทฯขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บค่ามัดจำตั๋วเครื่องบินตามจำนวนเงินที่เกิดขึ้นจริง ทั้งนี้ขึ้นอยู่สายการบินและช่วงเวลาเดินทาง
  • เมื่อบริษัทฯได้ทำการสำรองที่นั่งพร้อมชำระเงินค่าตั๋วเครื่องบินแล้วในกรณีออกตั๋วเครื่องบินแบบรายบุคคลหรือรายกลุ่ม หากท่านยกเลิกทัวร์หรือไม่สามารถเดินทางได้ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม บริษัทฯขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บค่าตั๋วเครื่องบิน แบบรายบุคคลหรือรายกลุ่ม ตามจำนวนเงินที่มีค่าใช้จ่ายตามที่เกิดขึ้นจริง และจะต้องรอจากทำรีฟันด์จากทางสายการบินซึ่งใช้เวลาดำเนินการ 60-90 วันหรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของสายการบินและเงื่อนไขของการซื้อตั๋วนั้นๆ
  • ที่นั่งแบบ Long Leg โดยปกติอยู่บริเวณทางออกประตูฉุกเฉิน ผู้นั่งบริเวณดังกล่าวจะต้องมีคุณสมบัติตรงตามที่สายการบินกำหนด เช่น ต้องเป็นผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง และช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่างรวดเร็วในกรณีที่เครื่องบินประสบปัญหา ท่านสามารถเปิดประตูฉุกเฉินได้ (น้ำหนักประมาณ 20 กิโลกรัม) ไม่ใช่ผู้ที่มีปัญหาทางด้านสุขภาพและร่างกาย อำนาจในการตัดสินใจให้ที่นั่ง Long leg ขึ้นอยู่กับทางเจ้าหน้าที่สายการบินในขณะตอนเวลาเช็คอินเท่านั้น
  • การระบุเลือกที่นั่งล่วงหน้า ปัจจุบันทางสายการบินส่วนใหญ่เปิดให้เลือกที่นั่งได้โดยมีค่าธรรมเนียม หากท่านต้องการเลือกที่นั่งล่วงหน้า โปรดแจ้งให้เจ้าหน้าที่บริษัททราบเพื่อดำเนินการ
เงื่อนไขและความรับผิดชอบ
  • บริษัทเป็นเพียงตัวแทนการท่องเที่ยว สายการบิน และตัวแทนการท่องเที่ยวในต่างประเทศ ซึ่งไม่อาจรับผิดชอบต่อความเสียหายต่างๆที่อยู่เหนือการควบคุมของเจ้าหน้าที่บริษัทฯ อาทิเช่น การนัดหยุดงาน การจลาจล เปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาในตารางบิน ภัยธรรมชาติ หรือค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่เกิดขึ้นทั้งทางตรงหรือทางอ้อม เช่น การเจ็บป่วย การถูกทำร้าย การสูญหาย  ความล่าช้า หรือจากอุบัติเหตุต่างๆ ฯลฯ
  • รายการท่องเที่ยวอาจจะเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม เนื่องจากความล่าช้าของสายการบิน โรงแรมที่พักในต่างประเทศ เหตุการณ์ทางการเมือง และภัยธรรมชาติ ฯลฯ โดยบริษัทฯจะคำนึงถึงความสะดวกของผู้เดินทางเป็นสำคัญ  
  • เนื่องจากรายการท่องเที่ยวนี้เป็นการชำระแบบเหมาจ่ายกับบริษัทตัวแทนในต่างประเทศ ท่านไม่สามารถเรียกร้องเงินคืนในกรณีที่ท่านปฏิเสธหรือสละสิทธิ์ในการใช้บริการนั้นที่ทางทัวร์จัดให้ ยกเว้นจะตกลงกันเป็นกรณีไป บริษัทฯจะไม่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น 
  • บริษัทฯขอสงวนสิทธิ์ในการยกเลิกการเดินทางในกรณีที่มีผู้เดินทางต่ำกว่าที่กำหนด โดยจะแจ้งให้ผู้เดินทางทราบล่วงหน้าก่อนเดินทาง 
  • บริษัทฯไม่รับผิดชอบในกรณีที่กองตรวจคนเข้าเมืองห้ามผู้เดินทางเนื่องจากมีสิ่งผิดกฎหมายหรือสิ่งของห้ามนำเข้าประเทศ เอกสารเดินทางไม่ถูกต้อง หรือมีความประพฤติส่อไปในทางเสื่อมเสีย หรือด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม ซึ่งกองตรวจคนเข้าเมืองพิจารณาแล้ว บริษัทฯไม่อาจคืนเงินให้ท่านได้ไม่ว่าจำนวนทั้งหมดหรือบางส่วน

ค้นหา
คำค้น
ช่วงเวลา
รายการทัวร์
ค้นหา


 

Add line Triple Enjoy